
เส้นทางการเป็นเถ้าแก่อยู่ที่นี่แล้ว เปิดรายชื่อ แฟรนไชส์ น่าลงทุน ประจำปี 2568 เส้นทางการเป็นเจ้าของธุรกิจ จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนกี่บาท นานไหมกว่าจะได้กำไร และธุรกิจประเภทใดมาแรง เหมาะแก่การโกยรายได้ ที่นี่มีคำตอบ
สำหรับผู้ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจเอง การเริ่มต้นจากศูนย์อาจดูเหมือนเป็นภูเขาที่สูงชันและเต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน ธุรกิจ “แฟรนไชส์” เปรียบเสมือนบันไดที่มั่นคง และสามารถนำทางนักธุรกิจหน้าใหม่ทุกท่านไปสู่ความสำเร็จได้
ใน 2568 นี้ ธุรกิจแฟรนไชส์ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ด้วยโมเดลธุรกิจที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว มีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก และการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ทำให้แฟรนไชส์มีความเสี่ยงน้อยกว่าการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม การเลือกแฟรนไชส์ที่เหมาะสมกับตัวเองและสถานการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ
วันนี้ทีมงาน เดอะ ไทยเกอร์ จึงได้คัดสรรแฟรนไชส์ที่น่าสนใจในหลากหลายประเภท ประจำปี 2568 พร้อมเปิดรายละเอียดคู่มือการลงทุน ที่จำเป็นต่อการตัดสินใจมาให้เหล่านักธุรกิจหน้าใหม่ได้พิจารณา ก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับ รายชื่อแฟรนไชส์น่าลงทุน ประจำปี 2568 สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทธุรกิจหลัก ๆ ได้แก่ 1. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 2. ธุรกิจบริการ และ 3. ธุรกิจค้าปลีก
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม : เติมความอร่อย สร้างรายได้ไม่หยุด
ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มยังคงเป็นประเภทกิจการที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ทานอาหารนอกบ้าน และสั่งเดลิเวอรี่มากขึ้น แฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มจึงมีโอกาสเติบโตได้ดี
1. ชานมไข่มุก “Kamu Tea”
Kamu Tea เป็นแบรนด์ชานมไข่มุกยอดนิยมที่โดดเด่นด้วยรสชาติเข้มข้น วัตถุดิบคุณภาพ และเมนูที่หลากหลาย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ซึ่งหากต้องการลงทุนเปิดแฟรนไชส์ Kamu Tea และเปิดร้านเป็นของตัวเอง ผู้สนใจจะต้องเตรียม เงินลงทุนโดยประมาณ 2 – 2.9 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ดังนี้
- ค่าสิทธิ์แฟรนไชส์ต่าง ๆ : 1,500,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ถือเป็นค่าลิขสิทธิ์ในการใช้ชื่อแบรนด์ ระบบการจัดการ และสูตรเครื่องดื่มอันเป็นเอกลักษณ์ของ Kamu Tea
- ค่าก่อสร้างร้านโดยประมาณ (ตามพื้นที่) : 500,000 – 800,000 บาท ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ร้าน รูปแบบการตกแต่ง และทำเลที่ตั้ง
- เงินประกันค่าลิขสิทธิ์ : 300,000 บาท เงินจำนวนนี้จะเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามข้อตกลง และเงื่อนไขของสัญญาแฟรนไชส์ ซึ่งจะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดสัญญา โดยจะเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละธุรกิจ
ทั้งนี้ ก็ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่ Royalty Fee 6% จากยอดขาย โดยค่า Royalty Fee เป็นค่าธรรมเนียมรายเดือนที่แฟรนไชส์ซีต้องจ่ายให้กับบริษัทแม่ เพื่อเป็นการตอบแทนการสนับสนุนด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการจัดการระบบ
รวมถึง Marketing Fee 2% จากยอดขาย ซึ่งค่า Marketing Fee เป็นค่าธรรมเนียมที่นำไปใช้ในการทำการตลาด และส่งเสริมการขายในภาพรวมของแบรนด์ เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้า
เงื่อนไขสัญญาแฟรนไชส์ ชานมไข่มุก “Kamu Tea” ระบุว่า สัญญาแฟรนไชส์ของ Kamu Tea มีอายุ 6 ปี โดยมีการต่อสัญญาทุก 3 ปี เพื่อให้แฟรนไชส์ และบริษัทแม่ได้ทบทวนและปรับปรุงข้อตกลงต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเมื่อต้องการต่อสัญญาแฟรนไชส์ จะมีค่าใช้จ่ายในการต่อลิขสิทธิ์ 150,000 บาท

2. ร้านกาแฟ “Inthanin Coffee”
Inthanin Coffee เป็นร้านกาแฟแบรนด์ไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีสาขาทั่วประเทศ จุดเด่นคือรสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ และบรรยากาศร้านที่อบอุ่น ดังนั้น อินทนิล คอฟฟี่ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจของเหล่านักลงทุนหน้าใหม่ สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์ มีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ผู้ลงทุนต้องทราบ ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้า : 150,000 บาท : ค่าธรรมเนียมนี้เป็นค่าสิทธิ์ในการเริ่มต้นธุรกิจภายใต้แบรนด์ “อินทนิล คอฟฟี่” และการเข้าถึงระบบสนับสนุนต่าง ๆ จากบริษัทแม่
- ค่าดำเนินการ : 50,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะเป็นค่าดำเนินการเริ่มต้นในการเตรียมความพร้อมก่อนเปิดร้าน
- เงินค้ำประกันการบริหารร้าน : 100,000 บาท เงินค้ำประกันนี้เป็นการสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการร้านให้เป็นไปตามมาตรฐานของแฟรนไชส์ ซึ่งจะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดสัญญา (ตามเงื่อนไข)
- ค่าบริการระบบ Point Of Sale (POS) : 162,000 บาท ระบบ POS เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการร้านอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมการขาย การจัดการสต็อก และการรายงานผล
- ค่าออกแบบและจัดทำแบบก่อสร้าง : เริ่มต้นที่ 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นค่าบริการออกแบบร้านให้เป็นไปตามมาตรฐานของ อินทนิล คอฟฟี่ ซึ่งราคาเริ่มต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และรูปแบบร้าน
- เงินลงทุนค่าอุปกรณ์การขายและวัตถุดิบครั้งแรก : 400,000 บาท เงินทุนส่วนนี้ใช้สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานของร้าน เช่น เครื่องชงกาแฟ อุปกรณ์ครัว วัตถุดิบเริ่มต้น และอื่น ๆ
ทั้งนี้ งบประมาณข้างต้นไม่รวมค่าก่อสร้างร้าน และไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และนอกจากนั้นผู้ลงทุนจะต้องจ่ายค่า Royalty Fee 3% และ Marketing Fee 3% จากยอดขายรายเดือน เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานของระบบแฟรนไชส์ และการทำการตลาดในภาพรวม
เงื่อนไขธุรกิจแฟรนไชส์ “อินทนิล” ระบุไว้ว่า สัญญาแฟรนไชส์มีระยะเวลา 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้ลงทุนได้รับสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้า และดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ และผู้ที่ต้องการลงทุนแฟรนไชส์ อินทนิล คอฟฟี่ จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศไทย

ธุรกิจบริการ : ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่
ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและใส่ใจสุขภาพของผู้คนก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ
3. ร้านสะดวกซัก “Otteri Wash & Dry”
Otteri Wash & Dry เป็นแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก 24 ชั่วโมง ที่ตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายในการซักผ้า ซึ่งขณะนี้เป็นแบรนด์แฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ อันดับ 1 ที่มีระบบสนับสนุนแฟรนไชส์และนักลงทุนที่ดีที่สุด ด้วยการมีระบบสนับสนุนที่พร้อมให้ผลตอบแทนจากการลงทุนคุ้มค่าสูงสุด ผู้ที่สนใจจะต้องเตรียม เงินลงทุนโดยประมาณ 2.3 ล้านบาท (ลงทุนเพียงครั้งเดียว)
สำหรับแฟรนไชส์ Otteri Wash & Dry ได้นำเสนอตัวเลือกแฟรนไชส์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่มีงบประมาณ และความต้องการที่แตกต่างกัน โดยหลัก ๆ จะแบ่งตามประเภทเครื่องซักผ้าและขนาดของร้าน ดังนี้
แฟรนไชส์ Otteri เครื่อง Oasis
เครื่องซักผ้า Oasis เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม ด้วยคุณภาพที่ได้มาตรฐานและราคาที่เข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจร้านสะดวกซัก
- ขนาดร้าน Otteri ไซต์ M (เครื่อง Oasis)
ราคาเริ่มต้นที่ 2,422,380 บาท โดยอุปกรณ์ภายในร้าน จะมีเครื่องซักผ้าอัตโนมัติหยอดเหรียญ ขนาดเล็ก 2 เครื่อง, ขนาดกลาง 2 เครื่อง และ ขนาดใหญ่ 1 เครื่อง รวมถึงมีเครื่องอบผ้าแก๊ส ขนาด 15 กิโลกรัม (สองชั้น = 2 เครื่อง) 2 เครื่อง
- ขนาดร้าน Otteri ไซต์ L (เครื่อง Oasis)
ราคาเริ่มต้นที่ 3,163,400 บาท อุปกรณ์ภายในร้าน จะมีเครื่องซักผ้าอัตโนมัติหยอดเหรียญ ขนาดเล็ก 2 เครื่อง, ขนาดกลาง 3 เครื่อง และ ขนาดใหญ่ 2 เครื่อง รวมถึงมีเครื่องอบผ้าแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม (สองชั้น = 2 เครื่อง) 3 เครื่อง
แฟรนไชส์ Otteri เครื่อง Huebsch
เครื่อง Huebsch เป็นเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการร้านสะดวกซักระดับพรีเมียม
- ขนาดร้าน Otteri ไซต์ M (เครื่อง Huebsch)
ราคาเริ่มต้นที่ 2,790,200 บาท อุปกรณ์ภายในร้าน จะมีเครื่องซักผ้าอัตโนมัติหยอดเหรียญ ขนาดเล็ก 2 เครื่อง, ขนาดกลาง 2 เครื่อง และขนาดใหญ่ 1 เครื่อง รวมถึงมีเครื่องอบผ้าแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม (สองชั้น = 2 เครื่อง) 2 เครื่อง
- ขนาดร้าน Otteri ไซต์ L (เครื่อง Huebsch)
ราคาเริ่มต้นที่ 3,701,400 บาท โดยมีอุปกรณ์ภายในร้าน เป็นเครื่องซักผ้าอัตโนมัติหยอดเหรียญ ขนาดเล็ก 2 เครื่อง, ขนาดกลาง 3 เครื่อง และขนาดใหญ่ 2 เครื่อง รวมถึงมีเครื่องอบผ้าแก๊สขนาด 15 กิโลกรัม (สองชั้น = 2 เครื่อง) 3 เครื่อง
ทั้งนี้ ทั้งสองการลงทุนแฟรนไชส์ Otteri ด้วยเครื่อง Oasis และ Huebsch จะได้รับอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมอีกมากมาย เพื่อให้ร้านสะดวกซักพร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงเครื่องทำน้ำร้อนระบบแก๊ส Rinnai ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซักและอบผ้า, อุปกรณ์ตกแต่งร้าน สร้างบรรยากาศร้านที่ทันสมัย สะอาด และน่าใช้บริการ
อุปกรณ์ติดตั้งเครื่องจักรและงานระบบ ช่วยให้การติดตั้งเครื่องซักผ้าและระบบต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและได้มาตรฐาน และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ (45 รายการ) ครอบคลุมอุปกรณ์จำเป็นในการดำเนินงานร้านสะดวกซักอย่างครบครัน

4. ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ “บ้านธรรมชาติ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม”
บ้านธรรมชาติ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม เป็นแฟรนไชส์ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และผู้ป่วย (Nursing Home) ที่ให้บริการดูแลแบบครบวงจร ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มขยายมากขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในแฟรนไชส์ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ บ้านธรรมชาติ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม จะต้องเตรียม เงินลงทุนโดยประมาณ 20 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดที่ควรรู้ดังนี้
- ค่าแฟรนไชส์ : 1,800,000 บาท ซึ่งเป็นค่าสิทธิ์ในการใช้แบรนด์ “บ้านธรรมชาติ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม” รวมถึงระบบการบริหารจัดการ และองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
- งบประมาณการลงทุน : 20,000,000 บาท เงินส่วนนี้เป็นงบประมาณโดยรวมสำหรับการจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุให้ได้มาตรฐาน ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าสถานที่ ค่าก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคาร ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องมืออำนวยความสะดวก ค่าเฟอร์นิเจอร์ และค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอื่น ๆ
- เงินทุนหมุนเวียน : 500,000 บาทต่อเดือน ธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุจำเป็นต้องมีเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอต่อการดำเนินงานในแต่ละเดือน โดยประมาณการเงินทุนหมุนเวียนอยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าจ้างบุคลากร ค่าอาหารและยา ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ

ทั้งนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่ Royalty Fee 4% ต่อเดือน โดยเป็นค่าธรรมเนียมที่แฟรนไชส์ซีต้องจ่ายให้กับบริษัทแม่ เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
รวมถึง Marketing Fee 3% ต่อเดือน ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่นำไปใช้ในการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์แบรนด์ บ้านธรรมชาติ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม ในภาพรวม เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้า
เงื่อนไขธุรกิจแฟรนไชส์ “บ้านธรรมชาติ บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม” ระบุว่า สัญญาแฟรนไชส์มีระยะเวลา 12 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอต่อการสร้างธุรกิจให้เติบโตและคืนทุน

ธุรกิจค้าปลีก : สินค้าหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
ธุรกิจค้าปลีกแฟรนไชส์ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะร้านค้าที่นำเสนอสินค้าที่หลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
5. ร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น 7-Eleven”
เซเว่น อีเลฟเว่น ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จัก และมีระบบจัดการที่เป็นมาตรฐาน โดยการลงทุนแฟรนไชส์ที่เรียกว่า Store Business Partner ซึ่งมีทั้งหมด 2 รูปแบบหลักให้ผู้สนใจได้เลือกตามความเหมาะสม รายละเอียดเป็นดังนี้
รูปแบบที่ 1 : แบ่งผลกำไร (CP ALL เป็นเจ้าของพื้นที่)
รูปแบบการลงทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ “เซเว่น อีเลฟเว่น” โดยไม่ต้องมีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่และอาคาร เนื่องจาก ซีพี ออลล์ จะเป็นผู้ลงทุนในส่วนของพื้นที่และอาคารทั้งหมด ผู้ลงทุนจะทำหน้าที่เป็น Store Business Partner ในการบริหารจัดการร้านและแบ่งปันผลกำไรกับ ซีพี ออลล์
รายละเอียดการลงทุน
- ลักษณะการลงทุน : แบ่งผลกำไร (ผู้ลงทุนไม่ได้เป็นเจ้าของร้าน)
- เจ้าของพื้นที่และอาคาร : บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
- ระยะเวลาสัญญา : 6 ปี
- เงินลงทุนเริ่มต้น : 1,480,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 480,000 บาท และเงินประกันความเสียหาย 1,000,000 บาท (จะได้คืนพร้อมดอกเบี้ยหลังเลิกสัญญา)
- ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ ซีพี ออลล์ รับผิดชอบ ค่าเช่าสถานที่, ค่าลงทุนอื่น ๆ
สำหรับรายได้ที่ผู้ลงทุนจะได้รับแต่ละเดือนคือ 29,000 บาท จากการทำงานในตำแหน่งผู้จัดการร้าน และได้ส่วนแบ่งผลกำไร 5% ฐานะผู้ลงทุน แต่สำหรับรายได้จากค่าเช่าหน้าร้านสะดวกซื้อจะเป็นของซีพี ออลล์ ไม่นำมารวมกับส่วนแบ่งผลกำไร
รูปแบบที่ 2 : แบ่งผลกำไร 50:50 (ผู้ลงทุนเป็นเจ้าของพื้นที่)
รูปแบบการลงทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่และอาคารเป็นของตนเอง และต้องการเป็น Store Business Partner กับ “เซเว่น อีเลฟเว่น” โดยจะมีการแบ่งปันผลกำไรกับ ซีพี ออลล์ ในอัตราส่วน 50:50
รายละเอียดการลงทุน
- ลักษณะการลงทุน : แบ่งผลกำไร 50:50 (ผู้ลงทุนเป็นเจ้าของพื้นที่และอาคาร)
- เจ้าของพื้นที่และอาคาร : ผู้ลงทุนแฟรนไชส์
- ระยะเวลาสัญญา: 10 ปี
- เงินลงทุนเริ่มต้น : ประมาณ 2,630,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน 1,730,000 บาท และเงินประกันความเสียหาย 900,000 บาท
สำหรับรายได้ที่ผู้ลงทุน หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับ มาจากส่วนแบ่งกำไร 54% ส่วนทางซีพีออลล์จะได้ 46%
ผู้ลงทุนรายใดที่ต้องการกู้สินเชื่ออัตราพิเศษ Store business partner โดยธนาคาร ทางสถาบันการเงินจะให้สินเชื่อวงเงินไม่เกิน 900,000 บาท ระยะเวลากู้สูงสุด 8 ปี
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนในทั้งสองรูปแบบจะได้รับเงินประกันความเสียหาย เมื่อสิ้นสุดสัญญาหรือยกเลิกสัญญา โดยจะได้รับดอกเบี้ยคืนทุกปี ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารกรุงเทพ ณ วันที่ 1 มกราคมของทุกปี
ทำไมต้องแฟรนไชส์? ข้อดีที่ควรรู้
เจาะลึกข้อสงสัย ทำไมการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ถึงเป็นที่นิยม และมีข้อดีอย่างไรบ้าง ในโอกาสนี้ เดอะ ไทยเกอร์ ได้รวบรวมมาให้คร่าว ๆ 4 ปัจจัย ดังนี้
- ลดความเสี่ยง เป็นข้อดีที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะแฟรนไชส์ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จัก และมีโมเดลธุรกิจที่ผ่านการทดลองและประสบความสำเร็จมาแล้ว ทำให้ลดความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่จากศูนย์
- บริษัทแม่ให้การสนับสนุนอย่างดี โดยผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของแฟรนไชส์ในด้านต่าง ๆ เช่น การฝึกอบรม การตลาด การจัดซื้อ และการจัดการร้าน ทำให้ผู้ประกอบการมือใหม่สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมั่นใจ
- ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้น การซื้อแฟรนไชส์จะช่วยลดขั้นตอนในการสร้างแบรนด์ พัฒนาระบบ และทำการตลาด ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นธุรกิจ
- โอกาสในการเติบโต โดยแฟรนไชส์ที่มีชื่อเสียงมักมีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง และมีโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตมากกว่าธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น
สรุปได้ว่า การลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจในปี 2568 ด้วยตัวเลือกที่หลากหลายในแต่ละประเภทธุรกิจ ซึ่งผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการประกอบการตัดสินใจเลือกแฟรนไชส์ที่ใช่ เพื่อเริ่มต้นเส้นทางเป็นเถ้าแก่ได้อย่างมั่นคง
ข้อมูลจาก thaifranchisecenter, inthanincoffee, otteriwashdry และ cpall
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดแฟรนไชส์ Mezzo ต้องใช้เงินลงทุนกี่บาท ร้านสำหรับคนรักกาแฟ
- ซื้อแฟรนไชส์ WEDRINK ร้านเครื่องดื่ม สัญชาติจีน ใช้เงินลงทุนกี่บาท เช็กวิธีสมัครที่นี่
- แฟรนไชส์ ‘ไข่หวานบ้านซูชิ’ อยากเปิดต้องลงทุนเท่าไหร่ คืนทุนในกี่ปี