เรื่องย่อ ข้อมูล ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม 15 เรื่องสุดท้าย ผลงานเด่นเข้าชิงชัย ออสการ์ 2025 หลานม่า เข้ารอบ สร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกให้หนังไทย
ประกาศผลออกมาแล้ว รายชื่อภาพยนตร์ 15 เรื่องที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่การพิจารณาในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม งานประกาศรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ออสการ์ ครั้งที่ 97 ประจำปี 2025 ตัวแทนหนังไทย หลานม่า โดย GDH จารึกตำนานบทใหม่ เข้ารอบลึกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ภาพยนตร์เหล่านี้เป็นตัวแทนของมุมมองทางวัฒนธรรม ความลึกซึ้งทางอารมณ์ และการเล่าเรื่องที่โดดเด่น จะมีการคัดรอบสุดท้ายเพียง 5 เรื่อง วันที่ 17 มกราคม 2568 มาลุ้นกันว่าหลานม่า จะทะลุเข้ารอบไปได้ประกาศชื่อบนเวทีจริงเดือนมีนาคมหรือไม่
วันนี้ทีมข่าวบันเทิงไทยเกอร์เฉพาะกิจ จะพามาเจาะลึกคู่แข่งอีกทั้ง 14 เรื่องของหลานม่า ที่คนไทยยังไม่รู้จัก ว่าจะน่ากลัวแค่ไหน
ภาพยนตร์ทั้ง 15 เรื่อง สาขา ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ประกอบด้วย
1. “Armand” (IFC Films) จากนอร์เวย์
เรื่องราว่าด้วย เอลิซษเบธ (รับบทโดย Renate Reinsve) ได้รับเรียกตัวไปยังโรงเรียนของลูกชาย เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นระหว่าง อาร์มันด์ และเพื่อนของเขา จอน เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องของเด็กๆ กลับกลายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนกว่าที่คิด นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน สงครามประสาทที่น่าติดตามนี้เผยให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ ทั้งความบ้าคลั่ง ความปรารถนา และความหลงใหลที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูปกติ
2. “Dahomey” (Mubi) จากเซเนกัล
เรื่องย่อ “Dahomey” เล่าเรื่องราวของการส่งคืนสมบัติทางศิลปะ 26 ชิ้นจากประเทศฝรั่งเศส กลับคืนสู่ประเทศเบนิน (ชื่อเดิมคือดาโฮเมย์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมที่ถูกนำออกไปในช่วงยุคอาณานิคม ภาพยนตร์ติดตามการเดินทางของสมบัติเหล่านี้และการกลับมาสู่แผ่นดินเกิด รวมถึงการสำรวจความหมายของการกลับมานี้ต่อปัจจุบันและอนาคตของประเทศเบนิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองของคนรุ่นใหม่
3. “Emilia Pérez” (Netflix) จากฝรั่งเศส
ฉีกแนวด้วยการผสมผสานดนตรี มิวสิคัล อาชญากรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว พร้อมด้วยนักแสดงชื่อดังมากมาย ก่อนหน้านี้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globes) มากถึง 8 สาขา เป็นสถิติใหม่สำหรับภาพยนตร์มิวสิคัล-คอเมดี้
เรื่องย่อว่าด้วย เรื่องราวของหัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดชาวเม็กซิกันที่ต้องการจะแปลงเพศ และได้ว่าจ้างทนายความหญิงคนหนึ่งให้ช่วยเหลือในกระบวนการนี้ เรื่องราวดูเหมือนจะมีความซับซ้อนและเข้มข้น ผสมผสานกับฉากมิวสิคัลที่น่าตื่นตาตื่นใจ
4. “Flow” (Janus Films and Sideshow) จากลัตเวีย
ภาพยนตร์แอนิเมชั่นโดดเด่นด้วยการเล่าเรื่องราวที่ไร้บทสนทนา แต่กลับสื่อสารอารมณ์และความหมายได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านเรื่องราวของสัตว์ต่างๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับอุทกภัยครั้งใหญ่
“Flow” เป็นเรื่องของแมวดำตัวหนึ่งที่ต้องเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ร่วมกับสัตว์อื่นๆ เช่น ลีเมอร์ สุนัขลาบราดอร์ คาปิบารา และนก พวกมันต้องร่วมมือกันเพื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบาก การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตของโลกจะเป็นอย่างไร
5. “From Ground Zero” (ยังไม่มีผู้จัดจำหน่ายในสหรัฐฯ) จากปาเลสไตน์
ภาพยนตร์จากปาเลสไตน์เรื่องนี้ แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ตรงที่เป็นภาพยนตร์รวมเรื่องสั้น (anthology film) โดยมีผู้กำกับชาวปาเลสไตน์ถึง 22 คนร่วมสร้างสรรค์ผลงาน นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของชาวฉนวนกาซา ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
6. “The Girl With the Needle” (Mubi) จากเดนมาร์ก
นำเสนอเรื่องราวในกรุงโคเปนเฮเกนช่วงปี 1919 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจและสังคม ฉากหลังเป็นโคเปนเฮเกน คาโรลีน หญิงสาวโรงงานพบว่าตัวเองตกงานและตั้งครรภ์ ถูกทอดทิ้งจากชายคนรัก ชีวิตของเธอตกอยู่ในความสิ้นหวังและยากลำบาก ในช่วงเวลาที่มืดมนนี้ เธอได้พบกับดักมาร์ หญิงงามสง่าที่เสนอบริการจัดหาพ่อแม่บุญธรรมให้กับเด็กทารกที่แม่ไม่พร้อมจะเลี้ยงดู คาโรลีนจึงเริ่มทำงานเป็นแม่นมให้กับดักมาร์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาไปอย่างลึกซึ้ง แต่แล้วคาโรลีนก็ต้องพบกับความลับอันน่าตกใจเบื้องหลังธุรกิจของดักมาร์ ซึ่งพลิกผันชีวิตของเธอไปตลอดกาล
7. “หลานม่า” (Well Go USA Entertainment) จากประเทศไทย
“เอ็ม” หลานชายที่กำลังมองหาโอกาสที่จะรวยทางลัด ได้รู้ว่าญาติของเขาได้รับมรดกจากการดูแลญาติผู้ใหญ่ที่ป่วยหนัก ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะเข้าไปดูแล “อาม่าเหม้งจู” ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เพื่อหวังผลประโยชน์จากมรดก แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่กับอาม่า เอ็มก็ได้เรียนรู้ เข้าใจถึงความรัก ความผูกพัน และคุณค่าของครอบครัวอย่างแท้จริง เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงค่อยๆ พัฒนาไปในทิศทางที่ลึกซึ้งและซาบซึ้ง
8. “I’m Still Here” (Sony Pictures Classics) จากบราซิล
เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างแม่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์กับลูกชาย สำรวจประเด็นเกี่ยวกับความทรงจำ ความรัก และการเผชิญหน้ากับการสูญเสีย ในระหว่างทางที่ความทรงจำของแม่จะเลือนลางไปทุกที
9. “Kneecap” (Sony Pictures Classics) จากไอร์แลนด์
เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของวงฮิปฮอปไอริชชื่อเดียวกัน ประกอบด้วยสมาชิก 3 คน ได้แก่ Mo Chara, Móglaí Bap และ DJ Próvaí พวกเขาเป็นที่รู้จักจากการผสมผสานดนตรีฮิปฮอปเข้ากับภาษาไอริช เนื้อหาเพลงที่มักจะพูดถึงประเด็นทางสังคมและการเมืองในไอร์แลนด์ ภาพยนตร์น่าจะติดตามการเดินทางของพวกเขา ตั้งแต่การก่อตั้งวง การสร้างสรรค์ผลงานเพลง การเผชิญหน้ากับอุปสรรค และการสร้างชื่อเสียงในวงการดนตรี
10. “Santosh” (Metrograph Pictures) จากสหราชอาณาจักร
กำกับโดย สันธยา ซูริ นำเสนอเรื่องราวของตำรวจหญิงในชนบทของอินเดียที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำงานและปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ซานโตส (รับบทโดย ชาฮานา กอสวามิ) หญิงม่ายที่เพิ่งสูญเสียสามี ได้รับสืบทอดงานของสามีในฐานะตำรวจหญิงในชนบททางตอนเหนือของอินเดีย ภายใต้โครงการของรัฐบาล ในระหว่างการสืบสวนคดีฆาตกรรมเด็กหญิงวรรณะต่ำ เธอได้ร่วมงานกับ ชาร์มา (รับบทโดย สุนิตา ราชวาร์) ตำรวจหญิงที่มีเสน่ห์และเป็นนักสตรีนิยม ซานโตสต้องเผชิญกับความท้าทายในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ฝังรากลึก
11. “The Seed of the Sacred Fig” (Neon) จากเยอรมนี
กำกับโดย โมฮัมหมัด ราซูลอฟ ผู้กำกับชาวอิหร่านที่เคยได้รับรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาแล้ว หนังเรื่องนี้เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวความตึงเครียด ความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นในครอบครัวหนึ่งในอิหร่าน ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง
เรื่องย่อ วันหนึ่ง อิมาน ผู้พิพากษาในศาลปฏิวัติแห่งเตหะราน พบว่าปืนพกประจำตัวของเขาหายไปจากบ้านอย่างลึกลับ ในขณะที่สถานการณ์การประท้วงทางการเมืองในประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น ความหวาดระแวงของอิมานพุ่งเป้าไปที่ นาจเมห์ ภรรยา และลูกสาวทั้งสอง เรซวาน และ ซานา เขาเริ่มใช้มาตรการที่เข้มงวดและกดดันคนในครอบครัวเพื่อค้นหาความจริง ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เคยอบอุ่นเริ่มแตกร้าว กฎเกณฑ์และระเบียบที่เคยยึดถือค่อยๆ พังทลายลง พร้อมๆ กับความเชื่อใจที่หมดไป
12. “Touch” (Focus Features) จากไอซ์แลนด์
สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ โอลาฟูร์ โยฮันน์ โอลาฟส์สัน เรื่องราวความรักที่ยั่งยืน การตามหารักแรกอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไป 50 ปี
คริสโตเฟอร์ ชายชราที่อาศัยอยู่ในโคเปนเฮเกน ได้รับข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนเก่า ทำให้เขาหวนนึกถึงอดีต ความรักครั้งแรกของเขาเมื่อ 50 ปีก่อน ในช่วงปี 1960 คริสโตเฟอร์ในวัยหนุ่มเป็นนักศึกษาชาวไอซ์แลนด์ที่เดินทางไปลอนดอนและได้พบกับ มาโกะ หญิงสาวชาวญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ของพวกเขาสั้นๆ แต่ฝังลึกในความทรงจำ เมื่อคริสโตเฟอร์ได้รับรู้ว่ามาโกะหายตัวไปหลังจากเหตุการณ์สึนามิในญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อน เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อตามหาเธออีกครั้ง
ภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวสลับกันระหว่างสองช่วงเวลา ยุคปัจจุบัน คริสโตเฟอร์ในวัยชราเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อตามหาร่องรอยของมาโกะ กับปี 1960 คริสโตเฟอร์ในวัยหนุ่มพบรักกับมาโกะในลอนดอน
13. “Universal Language” (Oscilloscope Laboratories) จากแคนาดา
ภาพยนตร์ติดตามชีวิตของผู้คนหลากหลายกลุ่มในโตรอนโตที่พยายามสร้างชีวิตใหม่และหาที่ทางของตนเองในสังคม พวกเขามาจากภูมิหลังทางวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างกัน แต่พวกเขากลับพบจุดร่วมจนสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นผ่านภาษาใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน
14. “Waves” (ยังไม่มีผู้จัดจำหน่ายในสหรัฐฯ) จากสาธารณรัฐเช็ก
กรุงปราก ในช่วงทศวรรษ 1960 โทมัสและเพื่อนร่วมงานของเขาที่สถานีวิทยุเชโกสโลวาเกียถูกจำกัดอย่างมากจากการเซ็นเซอร์ของรัฐ เหตุการณ์ “ปรากฤดูใบไม้ผลิ” นำมาซึ่งอิสรภาพที่ไม่เคยคาดฝัน จนกระทั่งกองกำลังของสนธิสัญญาวอร์ซอเข้ามาทำให้การปฏิรูปคอมมิวนิสต์ในปี 1968 สิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน
15. “Vermiglio” (Janus Films) จากอิตาลี
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์อันงดงามในอิตาลี ถ่ายทำด้วยแสงธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งแต่ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิที่สดใส เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาชื่อ Vermiglio ภาพยนตร์ติดตามชีวิตของครอบครัวใหญ่ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญหลายอย่าง หลังจากการมาถึงของทหารซิซิลีผู้เงียบขรึม (รับบทโดย Giuseppe De Domenico) ที่หลบหนีจากการรับราชการทหาร
ทหารผู้นี้ได้พบรักกับลูเซีย (รับบทโดย Martina Scrinzi) ลูกสาวคนโตของครอบครัว ความสัมพันธ์ของพวกเขาเบ่งบานท่ามกลางความไม่แน่นอนและอันตรายจากสงคราม ภาพยนตร์สำรวจชีวิตของครอบครัวในชนบทที่ห่างไกล ซึ่งยังคงยึดมั่นในประเพณีและขนบธรรมเนียมเก่าแก่ ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสงคราม
ภาพยนตร์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลาย ตั้งแต่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่มีสไตล์มินิมอลแบบกวีอย่าง “Flow” จากลัตเวีย ไปจนถึงภาพยนตร์มิวสิคัลที่ผสมผสานอย่างกล้าหาญอย่าง “Emilia Pérez” จากฝรั่งเศส ทำให้การแข่งขันในปีนี้คาดว่าจะสูงที่สุดครั้งหนึ่ง
ภาพยนตร์เด่นที่เราคนไทยต้องจับตา ได้แก่ “Kneecap” จากไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่แหกกฎของวงแร็ปในชื่อเดียวกัน “I’m Still Here” จากบราซิล ซึ่งนำเสนอเรื่องราวที่ทั้งมีความหวังและโศกเศร้า และ “The Seed of the Sacred Fig” จากเยอรมนี ซึ่งเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญที่ทันต่อเหตุการณ์และมีประเด็นทางการเมือง
น่าเสียดาย ยังมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่น่าจับตามองแต่ไม่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง เช่น “Grand Tour” จากโปรตุเกส ซึ่งได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Miguel Gomes ในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อปีที่แล้ว รวมถึง “Sujo” จากเม็กซิโก และ “Lucky Ladies” จากอินเดีย หลายคนรู้สึกว่าอินเดียควรเลือก “All We Imagine as Light” ซึ่งเป็นรองชนะเลิศจากเมืองคานส์ ซึ่งจะเข้าแข่งขันในทุกสาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
สมาชิก Academy จากทุกสาขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการลงคะแนนรอบคัดเลือก พวกเขาต้องมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดการรับชมขั้นต่ำเพื่อให้มีสิทธิ์ลงคะแนนในสาขานี้ ในรอบการเสนอชื่อ สมาชิก Academy จากทุกสาขาได้รับเชิญให้เลือกเข้าร่วมและต้องดูภาพยนตร์ทั้ง 15 เรื่องที่เข้ารอบสุดท้ายเพื่อลงคะแนน