ข่าว

4 ผักคู่ครัวไทย ติดอันดับ “ทำลายตับ” กินผิดวิธี ตับพังก่อนวัย

เมื่อพูดถึงอาหารทำร้ายตับ เรามักนึกถึงการดื่มแอลกอฮอล์มาก ใช้ยาเกินขนาด หรือกินอาหารไขมันสูง แต่น้อยคนจะรู้ว่าแม้แต่ผักที่ดีต่อสุขภาพ หากกินผิดวิธีหรือผิดชนิดก็อาจทำร้ายตับได้เช่นกัน

หากคุณอยากมีตับที่แข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงหรือระวังการกินผัก 4 ชนิดที่ถูกจัดอันดับเป็น “ตัวการทำลายตับ” ดังนี้

1. มะเขือเทศสีเขียว

มะเขือเทศสุกมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่มะเขือเทศสีเขียวที่ยังไม่สุกเต็มที่กลับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะตับ เพราะมีสาร “แอลคาลอยด์” โดยเฉพาะโซลานิน ซึ่งส่งผลเสียต่อตับและกระเพาะอาหาร เมื่อเข้าสู่ร่างกาย กระเพาะต้องย่อย และตับต้องสลายสารพิษนี้ หากกินเป็นประจำอาจทำให้การทำงานของตับบกพร่อง เกิดโรคตับ รวมถึงมะเร็งตับได้

การกินมะเขือเทศสีเขียวอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน น้ำลายไหล อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หรือในกรณีร้ายแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

สารพิษในมะเขือเทศจะค่อยๆ ลดลงและหายไปเมื่อมะเขือเทศสุกแดง ดังนั้น ไม่ว่าจะกินสดหรือปรุงสุก ควรใช้มะเขือเทศที่สุกดีแล้วเท่านั้น

มะเขือเทศสีเขียว

Advertisements

2. ถั่วงอกตัดราก

แม้ถั่วงอกไร้รากจะดูขาวอวบน่ากิน ราคาถูกกว่า แต่ไม่ดีต่อสุขภาพ การกินมากหรือบ่อยอาจทำให้ตับและอวัยวะอื่นๆ เสียหายได้

เพราะถั่วงอกชนิดนี้ปลูกโดยแช่น้ำและใช้สารเร่งการเจริญเติบโต ทำให้เก็บเกี่ยวได้เร็วผิดปกติ แม้จะทำกำไรได้มาก แต่ในกระบวนการนี้ถั่วงอกจะดูดซับสารพิษ สารเคมีมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เซลล์เปลี่ยนแปลง

เมื่อกินเข้าไป ร่างกายจะสะสมสารพิษ ตับต้องทำงานหนักจนเสียหาย ในระยะยาวอาจเกิดเซลล์มะเร็งตับได้ ดังนั้น ควรกินให้น้อยที่สุดหรือเลิกกินไปเลยหากต้องการตับที่แข็งแรง

ถั่วงอกตัดราก

3. ถั่วสุกไม่เต็มที่

เราทราบกันดีว่าถั่วมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่หากปรุงไม่สุกดี อาจกลายเป็นพิษเทียบเท่าสารหนู เพราะมีสารบางชนิด เช่น ไฟโตฮีแมกกลูตินิน ไกลโคไซด์ และโปรตีเอสอินฮิบิเตอร์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อตับและกระเพาะอาหาร

ในบรรดาถั่วทั้งหลาย ถั่วแดงที่สุกไม่เต็มที่ถือเป็น “ตัวการทำลายตับ” อันดับหนึ่ง แม้การต้มให้สุกเต็มที่อาจไม่ถูกปากคนชอบกินถั่วแดงกรอบๆ แต่ช่วยปกป้องตับได้ เพราะถั่วแดงดิบมีสารซาโปนินและเลคตินที่ทำลายตับ หากกินปริมาณมากเป็นเวลานานอาจทำให้การทำงานของตับเสียหาย เกิดโรคตับได้

นอกจากนี้ การกินถั่วสุกไม่เต็มที่อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด อาเจียน ท้องเสีย หรือในกรณีร้ายแรง อาจมีอาการวิงเวียน ปวดหัว เหงื่อเย็น ชาตามแขนขา และอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับระบบประสาท

ถั่วแดงสุกไม่เต็มที่

4. เห็ดหูหนูแช่น้ำนานเกินไป

การแช่เห็ดหูหนูผิดวิธีอาจทำให้กลายเป็น “พิษ” ที่อันตรายต่อตับ แม้เห็ดหูหนูแห้งจะไม่มีพิษ แต่หากแช่นานเกินไป โดยเฉพาะมากกว่า 8 ชั่วโมงหรือทิ้งไว้ข้ามคืน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย ผลิตสารพิษที่ทำให้เกิดอาการเป็นพิษได้

แบคทีเรียในเห็ดหูหนูสามารถผลิตสารพิษ BKA ที่รุนแรงมาก และสารก่อมะเร็งอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ สารเหล่านี้ไม่สลายที่อุณหภูมิสูง แม้ปรุกสุกแล้วก็ไม่สามารถทำลายสารพิษทั้งหมดได้ อาการเป็นพิษที่พบบ่อยคือ ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะอวัยวะหลายระบบล้มเหลว ปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ ทำให้อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 50%

เพื่อปกป้องสุขภาพ ควรล้างเห็ดหูหนูก่อนแช่ และแช่ในน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ไม่ควรกินเห็ดหูหนูสด เพราะมีสารมอร์โฟลีน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคัน บวม หรือในกรณีร้ายแรงอาจทำให้ผิวหนังตายและเกิดอาการแพ้อื่นๆ ได้

การรับประทานผักอย่างถูกวิธีและเลือกผักที่ปลอดภัยจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดโดยไม่เป็นอันตรายต่อตับ ดูแลตับให้ดี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว

เห็ดหูหนูแช่น้ำนานเกินไป

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ที่มา : โซหา

Thaiger

The Thaiger นำเสนอข่าวสารล่าสุดและอัปเดตจากทั่วประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button