ฟุตบอล

ยูโร 2024 : จัดอันดับทีมลุ้นแชมป์ ฝรั่งเศสนำโด่ง เยอรมนี อังกฤษ คอยเสียบ

ทายผล ศึกฟุตบอลยูโร 2024 จะเปิดฉากในวันศุกร์นี้ โดย 24 ทีมจะได้มีโอกาสชูถ้วยแชมป์อันทรงเกียรติ แต่ทีมไหนกันที่มีโอกาสคว้าแชมป์มากที่สุด?

คำถามนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่จริง ๆ แล้วมีองค์ประกอบมากมายที่ต้องพิจารณา ทั้งคุณภาพของนักเตะตัวหลัก ความลึกของทีม ความมั่นใจของชาติ จุดอ่อน แนวทางการเล่น กลยุทธ์ อาการบาดเจ็บ และที่สำคัญที่สุดสำหรับทีมที่อยู่นอก 8 อันดับแรก คือ “สายการแข่งขัน” บางทีมได้อยู่ในสายที่ง่ายกว่าทีมอื่น ทำให้มีโอกาสเข้ารอบ 16 ทีม (หรือมากกว่านั้น) มากกว่า

ชาติคือทีมเต็ง? ทีมบ๊วย ทางเว็บไซต์ อีเอ็สพีเอ็น จัดอันดับ ทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ทั้ง 24 ทีม ในครั้งนี้ มาดูกันเลย

อันดับ 24 แอลเบเนีย

นี่เป็นการเข้าร่วมศึกยูโรเป็นครั้งที่สองของแอลเบเนีย หลังจากเคยผ่านเข้ารอบมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2016 ในปีนั้นพวกเขาเจอกับฝรั่งเศสในนัดเปิดสนามและเกือบจะสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ ด้วยการยันเสมอกับเจ้าภาพจนถึงนาทีที่ 90 ก่อนที่อองตวน กรีซมันน์จะมาทำประตูชัย

พวกเขาต้องงัดทีเด็ดแบบนัดเปิดสนามปีนั้นออกมาอีกครั้ง หากหวังจะสร้างผลงานในยูโร 2024 เพราะพวกเขาอยู่ในกลุ่มสุดหินกับสามทีมยักษ์ใหญ่: สเปน, อิตาลี และโครเอเชีย ภายใต้การคุมทีมของซิลวินโญ แอลเบเนียพยายามปรับสไตล์การเล่นให้รุกมากขึ้น แต่ด้วยคุณภาพของคู่แข่งในกลุ่ม อาจจะต้องกลับไปตั้งรับเหนียวแน่นแบบที่ถนัด พวกเขามีแผงหลังที่มากประสบการณ์ และยังมีตัวความหวังในแดนกลางอย่างคริสเตียน อัสลานี จากอินเตอร์มิลาน แต่บอกเลยว่างานนี้หินสุด ๆ สำหรับแอลเบเนีย

อันดับ 23 โรมาเนีย

โรมาเนียเป็นทีมที่น่าสนใจและคล่องแคล่ว แม้ว่าจะไม่ได้ชนะเกมใดในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือฟุตบอลโลกมาตั้งแต่ปี 2000 แต่พวกเขาก็ยังหวังที่จะเก็บแต้มจากกลุ่ม E ที่มีเบลเยียม, สโลวาเกีย และยูเครน

โรมาเนียต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่สองประการ ประการแรกคือความแตกต่างด้านคุณภาพของผู้เล่นเมื่อเทียบกับทีมอื่น ๆ ที่เข้ารอบสุดท้าย เนื่องจากมีผู้เล่นของพวกเขาเพียงไม่กี่คนที่ได้เล่นในลีกใหญ่ และประการที่สอง ผู้เล่นหลักหลายคนไม่ค่อยได้ลงเล่นให้กับสโมสรในปี 2024 ซึ่งอาจส่งผลต่อความฟิตและความเฉียบคม โรมาเนียจะสามารถเล่นสไตล์โต้กลับและพยายามที่จะจับคู่แข่งให้ได้ แต่ไม่มีความหวังที่เป็นไปได้จริงที่พวกเขาจะสร้างผลงานเทพนิยายเข้าไปลึกในการแข่งขันนี้

อันดับ 22 จอร์เจีย

สถิติบนกระดาษ จอร์เจียมีทุกอย่างพร้อมที่จะสร้างปาฏิหาริย์ได้ ทั้งการได้เข้ารอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก, ผู้รักษาประตูที่เก่ง (จอร์จี มามาร์ดาชวิลี), แผงหลัง 5 คนที่แข็งแกร่ง, ตัวทำเกมรุกที่สร้างความแตกต่างได้ (ควิชา ควารัตสเคเลีย) แถมยังมีนักเตะฝีเท้าดีอีกหลายคนในแดนกลาง

ทีมนี้จะตั้งรับอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วส่งบอลให้ปีกตัวเก่งจากนาโปลีอย่างควารัตสเคเลีย ลากเลื้อย ลากเลื้อย แล้วก็ลากเลื้อยไปเรื่อย ๆ ไม่มีใครเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งได้มากกว่าเขา (44 ครั้ง) ในรอบคัดเลือก แผนนี้ขึ้นอยู่กับการจบสกอร์ของควารัตสเคเลียในพื้นที่สุดท้าย เหมือนกับที่เวลส์เคยทำได้ในยูโร 2016 กับแกเร็ธ เบล มันคงจะเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากถ้าจอร์เจียทำได้ แต่ความจริงก็คือมันจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีสาธารณรัฐเช็ก โปรตุเกส และตุรกี

อันดับ 21 สโลวีเนีย

ในแง่แทคติก สโลวีเนียเป็นหนึ่งในทีมที่ดู ‘คลาสสิค’ ที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ พวกเขาใช้แผน 4-4-2 ที่แข็งแกร่ง ซึ่งพึ่งพาผู้เล่นตัวความหวังทั้งในแนวรุกและรับ

ในแดนหน้า พวกเขามีเบนจามิน เชสโก กองหน้าตัวเก่งจาก RB Leipzig ซึ่งปฏิเสธข้อเสนอจากหลายสโมสรดังเพื่อที่จะอยู่พัฒนาฝีเท้าต่อในบุนเดสลีกา หัวหอกร่างโย่ง 196 ซม. คนนี้คือแสงสว่างนำทางของทีม เพิ่มความเฉียบคมให้กับทีมที่เน้นการทำงานหนัก พร้อมทั้งเข้าปะทะและสวนกลับอย่างรวดเร็ว ยาน ออบลัค ผู้รักษาประตูจากแอตเลติโก มาดริด เป็นอีกหนึ่งดาวเด่นของทีมและน่าจะได้ทำงานหนักเช่นกัน

สโลวีเนียทำประตูได้มากกว่าและเสียประตูน้อยกว่าเดนมาร์กในรอบคัดเลือก แต่พวกเขาได้เพียงแค่แต้มเดียวจากการเจอกัน และพวกเขาจะพบกันอีกครั้งในกลุ่ม C เซอร์เบียเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า และอังกฤษยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก ทำให้โอกาสโดยรวมของพวกเขาดูริบหรี่

อันดับ 20 สาธารณรัฐเช็ก

สถานการณ์ของสาธารณรัฐเช็กคาดเดายาก อีวาน ฮาเซค เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโค้ชในเดือนเมษายนหลังจากที่จาโรสลาฟ ซิลฮาวี ตัดสินใจลาออกเมื่อสิ้นสุดรอบคัดเลือกเมื่อดือนพฤศจิกายน 2023

ฮาเซค ซึ่งเคยเป็นกัปตันทีมในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ก่อนที่จะคุมทีมในปี 2009 จะนำทีมเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ แต่เขามีเวลาเตรียมทีมเพียงสองเกมเท่านั้นก่อนที่จะเจอกับโปรตุเกสในนัดเปิดสนาม

อันดับ 19 โปแลนด์

เมื่อพิจารณาจากคุณภาพของนักเตะดาวดังในบางตำแหน่ง คุณอาจตกใจที่เห็นโปแลนด์ถูกจัดอันดับต่ำขนาดนี้ แต่แม้แต่ผู้เล่นระดับท็อปของยุโรปอย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, ปิโอเตอร์ ซีลินสกี้ และวอยเชค เชสนี่ ก็ยังไม่สามารถทำให้ทีมชาติชุดนี้มีชีวิตชีวามาหลายปีแล้ว พวกเขาเล่นได้น่าผิดหวังในรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2022 และก็ไม่ได้ดีขึ้นในรอบคัดเลือกสำหรับยูโร 2024 จนต้องไปเล่นเพลย์ออฟแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกับแอลเบเนีย สาธารณรัฐเช็ก มอลโดวา และหมู่เกาะแฟโร

เลวานดอฟสกี้เป็นตัวทีเด็ดที่หลายชาติปรารถนา แต่สถิติการทำประตู 6 ลูกใน 18 เกมยูโรและฟุตบอลโลกของเขานั้นถือว่าไม่ดีนัก เมื่อทำได้เพียง 3 ประตูจาก 8 เกมรอบคัดเลือก ทำให้ยากที่จะเชื่อว่าโชคของกองหน้าวัย 35 ปีรายนี้จะเปลี่ยนไปในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บและอาจพลาดเกมในรอบแบ่งกลุ่มหนึ่งหรือสองเกม ตัวแทนตามธรรมชาติของเขาอย่างอาร์คาดิอุสซ์ มิลิค ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้น โปแลนด์จึงไม่น่าจะสร้างผลงานได้มากนักในการเจอกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศสในกลุ่ม D

อันดับ 18 เซอร์เบีย

บรรยากาศทีมชาติเซอร์เบียในตอนนี้เต็มไปด้วยความกลัวและความอับอาย เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่านี่เป็นเวทีที่พวกเขาเฝ้ารอคอยที่จะกลับมาอีกครั้งเป็นเวลา 14 ปี

ผลงานในรอบคัดเลือกนั้นย่ำแย่ – ผู้จัดการทีมดราแกน สตอยโควิชเองก็ยอมรับ – และแม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเล็กน้อยด้วยการชนะสวีเดน 3-0 ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แต่มันก็ยากที่จะคาดหวังอะไรมากมายจากผลบอลนัดนั้น

มีข้อกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเกมรับที่เสียไปถึง 8 ประตูใน 3 เกมที่ฟุตบอลโลก 2022 และตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ดีขึ้นเลย แถมยังต้องเผชิญหน้ากับกองหน้าระดับพระกาฬอย่าง แฮร์รี เคน ของอังกฤษ, รัสมุส ฮอยลุนด์ ของเดนมาร์ก และเชสโกของสโลวีเนีย แน่นอนว่าเซอร์เบียมีผู้เล่นที่มีคุณภาพ แต่ความสมดุลของทีมนั้นไม่ดีพอ และความเชื่อมั่นในทีมโดยรวมก็มีน้อยมาก

อันดับ 17 สโลวาเกีย

สโลวาเกียเป็นหนึ่งในทีมที่หวังจะได้เล่นอย่างน้อยสี่นัดในศึกยูโรครั้งนี้ การผ่านเข้ารอบจากกลุ่ม E ถือว่าเป็นไปได้และจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา พวกเขาจะพึ่งพาเกมรับที่แข็งแกร่ง นำโดย มิลาน ชคริเนียร์ จากปารีส แซ็ง-แฌร์แม็ง, เดนิส วาฟโร จาก FC Copenhagen และ ดาวิด ฮันช์โก จาก Feyenoord แม้จะไม่ได้โดดเด่นนัก แต่พวกเขาก็เป็นกลุ่มกองหลังที่ไว้ใจได้ ในแดนหน้า โรเบิร์ต โบเซนิค กองหน้าจาก Boavista เป็นตัวทีเด็ด ส่วน สตานิสลาฟ โลบ็อตก้า กองกลางจากนาโปลี ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมเกมได้อย่างยอดเยี่ยม

ด้วยศักยภาพนี้ สโลวาเกียน่าจะสามารถเอาชนะโรมาเนีย และต่อสู้กับยูเครนเพื่อผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้ ซึ่งหากทำได้ สิ่งอื่นใดที่ตามมาก็ถือเป็นผลพลอยได้

อันดับ 16 ฮังการี

ฮังการีผ่านเข้ารอบฟุตบอลยูโร 2024 ด้วยความได้เปรียบที่ทีมมีความลงตัว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก อย่างที่อิตาลี แชมป์เก่าเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เป็นทีมที่มีความลงตัวเช่นกัน แม้จะไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้ชูถ้วยแชมป์ แต่การอยู่ในกลุ่มที่มีสกอตแลนด์และสวิตเซอร์แลนด์ (รวมถึงเจ้าภาพเยอรมนี) ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะผ่านเข้ารอบได้

ผู้จัดการทีม มาร์โก รอสซี จะใช้แผนแผงหลังสามคน, วิงแบ็คที่วิ่งไม่มีหมด, และคู่กองกลางที่เข้าขากันดีในการตัดเกม ส่วน โดมินิค โซบอสซ์ไล และ โรลันด์ ซอลไล จะมีอิสระในการสร้างสรรค์เกม

ด้วยแผนการเล่นที่ลงตัวนี้ อาจจะเพียงพอที่จะพาฮังการีเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

อันดับ 15 สกอตแลนด์

สกอตแลนด์จะเปิดสนามพบกับเจ้าภาพเยอรมนีในคืนวันที่ 14 มิถุนายน 2567 และพวกเขาหวังที่จะสร้างความปั่นป่วน เมื่อดูจากความดื้อรั้นของทีมภายใต้การคุมทีมของสตีฟ คลาร์ก ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสร้างเซอร์ไพรส์ นอกจากนั้น พวกเขายังมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์หรือฮังการีได้ โดยจะใช้จุดเด่นในแดนกลางที่นำโดยจอห์น แม็คกินน์และสกอตต์ แม็คโทมิเนย์

การผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์เป็นสิ่งที่สกอตแลนด์สามารถทำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ อะไรก็ตามที่มากกว่านั้นอาจจะดูเหมือนเป็นแค่ความฝัน แต่พวกเขาจะไม่แคร์หากพวกเขาสามารถทำให้มันเป็นจริงได้

อันดับ 14 สวิตเซอร์แลนด์

หลายคนแปลกใจที่มูรัต ยากิน ยังคงเป็นผู้จัดการทีมของสวิตเซอร์แลนด์ แม้คุมทีมชนะเพียงแค่ 4 จาก 10 เกมในการคัดเลือก แต่สมาคมก็ยังเชื่อมั่นในตัวเขา โดยหวังว่าผลงานจะกลับมาดีขึ้น สวิตเซอร์แลนด์ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ในทุกทัวร์นาเมนต์ที่พวกเขาเข้าร่วมตั้งแต่ปี 2014 และอยู่ในกลุ่ม A ที่ไม่แข็งนัก โดยมีฮังการีและสกอตแลนด์เป็นคู่แข่ง

พวกเขามีผู้เล่นระดับท็อปอย่าง กรานิต ชาก้า, มานูเอล อาคานจี และยานน์ ซอมเมอร์ แต่คำถามคือ ยากินจะสามารถเรียกความมั่นใจของทีมกลับมาและทำให้พวกเขาเล่นได้ดีอีกครั้งหรือไม่

อันดับ 13 ตุรกี

หลังจากความล้มเหลวในยูโร 2020 ที่ตุรกีถูกคาดหวังไว้สูงแต่กลับแพ้ทั้งสามเกมในรอบแบ่งกลุ่มและเสียไปถึง 8 ประตู เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมองทีมนี้ด้วยความระมัดระวังในอีกสามปีต่อมา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขามีกลุ่มผู้เล่นที่น่าตื่นเต้น นำโดยฮาคาน ชัลฮาโนกลู จากอินเตอร์มิลาน และเสริมทัพด้วยดาวรุ่งหลายคน รวมถึงอาร์ดา กูเลอร์ จากเรอัลมาดริด

ตุรกีจบด้วยการเป็นจ่าฝูงของกลุ่มคัดเลือกที่มีทั้งโครเอเชียและเวลส์ และพวกเขากำลังจะเล่นฟุตบอลเกมรุกที่น่าตื่นเต้น ครั้งนี้ไม่มีใครคาดหวังมากนัก แต่พวกเขาควรจะจบอันดับสองในกลุ่ม F และสร้างความระทึกใจในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับฝรั่งเศส

อันดับ 12 ยูเครน

ยูเครนผ่านเข้ารอบสุดท้ายของยูโร 2024 ด้วยการเพลย์ออฟ ดังนั้นคุณอาจแปลกใจที่เห็นพวกเขาถูกจัดอันดับเหนือกว่าชาติอื่น ๆ อีก 12 ชาติ ซึ่งหลายชาติผ่านเข้ารอบโดยอัตโนมัติ แต่มีเหตุผลที่ดีสำหรับเรื่องนี้ นั่นคือ “สายการแข่งขัน”

พูดง่ายๆ ก็คือ ยูเครนอยู่ในกลุ่มที่ง่ายต่อการผ่านเข้ารอบ: เบลเยียม, สโลวาเกีย และโรมาเนีย การได้อันดับสองเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และนั่นอาจทำให้พวกเขาได้พบกับออสเตรียหรือเนเธอร์แลนด์ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

จริงอยู่ที่ผลการแข่งขันรอบคัดเลือกของยูเครน (เล่น 8 ชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 2) ไม่ได้สร้างความมั่นใจมากนัก แต่ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์พิเศษของพวกเขาด้วย การเล่นในสนามกลางเนื่องจากสงครามกับรัสเซียไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ทีมแสดงฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาได้ นี่เป็นทีมที่ดีที่มีความกระหายที่จะชนะ และมีผู้เล่นที่สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่าง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, มิไคโล มูดริก และ อาร์เทม ดอฟบิค

อันดับ 11 เดนมาร์ก

ในการแข่งขั้นครั้งก่อน เดนมาร์ก ถูกคาดหมายว่าจะทำผลงานได้ดี แต่ก็เกิดเหตุไม่คิดฝันเมื่อ คิรสเตียน อีริคเซ่น หัวใจหยุดเต้นในสนามตั้งแต่เกมแรก แต่สุดท้าย ทัพโคนมก็ทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ

ส่วนในรายการนี้ ขุมกำลังหลักของเดนมาร์กยังคงเป็นนักเตะหน้าเดิมๆ เพิ่มเติมคืออายุที่ปาเข้าไปเกิน 30 ปีหลายคน ทำให้สไตล์การเล่นของพวกเขาน่าจะช้าลงจากครั้งก่อนอย่างแน่นอน ตามสภาพของร่างกายนักเตะ แต่ก็แลกมาด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น

เดนมาร์ก ถูกคาดหมายว่าน่าจะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้ด้วยการคว้าอันดับที่ 2 แต่ัน่นหมายความว่าพวกเขาม๊โอกาสเจอกับของแข็งได้ในรอบน็อคเอาต์ ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าภาพอย่าง เยอรมนี ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้เดนมาร์กอยู่นอกกลุ่ม 10 ทีมเต็งสำหรับศึกยูโรครั้งนี้

อันดับ 10 ออสเตรีย

การเข้ามาของกุนซือมากประสบการณ์ของ ราล์ฟ รังนิก ส่งผลต่อทีมชาติออสเตรียเป็นอย่างมาก เพราะมีนักเตะหลายคนในทีมชุดนี้ที่เคยผ่านมือเขามาแล้วสมัยที่คุมทีมสโมสร

ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นไปในการเพรสซิ่งมากกว่าทีมอื่นๆ โดยใช้กองกลางที่พลังเหลือล้นใมนการไล่บอล ก่อนที่จะกระจายโอกาสการทำประตู นั่นทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวจบสกอร์ ซึ่งนั่นก็เป็นของเสียของพวกเขาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การขาดหายไปของ ดาบิด อลาบา ปราการหลังตัวเก่งจาก เรอัล มาดริด ก็ไม่มีใครมาทดแทนได้อยู่ดี

การที่พวกเขาถูกจับมาอยู่กลุ่มเดียวกับทั้ง ฝรั่งเศส และ เนธอร์แลนด์ แน่นอนว่าเป็นงานที่ยากมาก แต่ด้วยศักยภาพของพวกเขาก็น่าจะสามารถปาดหน้า โปแลนด์ เข้าวินเป็นที่ 3 ของกลุ่ม หรือไม่ก็แซง เนเธอร์แลนด์ เข้ารอยในฐานะรองแชมป์กลุ่มก็เป็นได้ เพราะถ้าเข้ารอบเป็นอันดับที่ 2 ก็จะเจอกับงานที่เบาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย (คาดว่าเป็น สโลวาเกีย หรือ ยูเครน) ซึ่งนั่นอาจทำให้พวกเขาสร้างเซอร์ไพรส์ได้ในรายการนี้

อันดับ 9 เนเธอร์แลนด์

ทัพอัศวินสีส้ม น่าจะเป็นทีมที่ดูตั้งคำถามมากที่สุดถึงเรื่องสภาพความฟิตของผู้เล่น และฟอร์มโดยรวมของนักเตะ แต่ในรายการนี้พวเขาจะไม่มีชื่อของ เฟรงกี้ เดอ ยอง จอมทัพตัวเก่ง ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งที่น่าสนใจว่า โรนัลด์ คูมัน จะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง

แม้ว่าจะมีเจอกับคำถามมากมายจากแฟนบอล แต่อย่าลืมว่าทีมนี้ยังมี เวอร์จิล ฟาน ไดค์, เดนเซล ดุมฟรีส์, เมมฟิส เดปาย และ โคดี้ กัคโป ที่เป็นสตาร์ดังของทีม รวมไปถึงดาวรุ่งอย่าง ซาบี ซิมอนส์ ที่ถ้าฟิตเต็มร้อยก็พร้อมแผลงฤทธิ์เหมือนกัน

การที่เกมแรกพวกเขาต้องเจอกับ โปแลนด์ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มีเวลาในการปรับปรุงทีมสำหรับอีก 2 เกมที่เหลือ

อันดับ 8 โครเอเชีย

แม้ว่าในช่วงหลัง โครเอเชีย จะถือว่าเป็นอีกหนึ่งทีมที่ประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์นานาชาติ แต่ศึกยูโรก็ยังเป็นจุดด่างพร้อยของพวกเขา เพราะตลอดยูโร 4 ครั้งที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยชนะเกมในรอบน็อคเอาท์ได้เลยตั้งแต่ปี 2004

หลายคนมองว่าในตอนนี้ ทัพตาหมากรุกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ซลัตโก้ ดาลิช ที่ต้องผสมนักเตะรุ่นใหม่กับแข้งรุ่นเก๋าออกมาให้ดูดีให้ได้

แม้ว่าในทีมชุดนี้จะยังทำทัพมาโดย ลูก้า โมดริช แต่การที่จะใช้งานนักเตะวัย 39 ปี เต็ม 90 นาทีก็เป็นเรื่องยาก เพราะทั้งซีซั่นที่ลงสนามให้กับ เรอัล มาดริด เขาได้เล่นเต็มเกมแค่ 5 นัดเท่านั้น

แต่ก็ไม่มีพื้นที่ให้กับความผิดพลาด เพราะในกลุ่มนี้ยังมีทีมแกร่งทั้ง อิตาลี และ สเปน รออยู่ พร้อมด้วยคำถามใหญ่ว่าทีมชุดนี้จะสามารถลงเล่นด้วยความเข้มข้นตลอดทั้งทัวร์นาเมนท์ได้หรือไม่

อันดับ 7 อิตาลี

ที่จริงแล้ว อิตาลี กับ โครเอเชีย น่าจะต้องมาอยู่ในอันดับเดียวกัน แต่ด้วยความเป็นแชมป์เก่า ก็น่าจะมีแรงฮึดในการป้องกันแชมป์ในครั้งนี้ แต่จากความล้มเหลวในการตกรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2022 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในทีม เพราะนอกจากกุนซือที่เปลี่ยนเป็น สเตฟาโน่ ปิโอลี่ แล้ว นี่เป้นครั้งแรกที่ในแผงเกมรับไม่มีชื่อของ 3 ตำนานชุด BBC ของยูเวนตุสเลยแม้แต่คนเดียว

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงสถิติไร้พ่ายในปี 2024 แถมในครั้งนี้มี จานลูก้า สกามักก้า หัวหอกที่กำลังเข้าฝัก, ในขระที่แดนกลางก็นำทัพมาโดย นิโคโล่ บาเรลล่า ซึ่งทั้งสองคนมีพลังงานเหลือล้นและเต็มไปด้วยคุณภาพ

อิตาลีมีขุมกำลังพร้อมต่อกรกับทุกทีมในวันที่พวกเขาฟอร์มดี แต่ก็ไม่ได้ห่างชั้นมากเมื่อเทียบกับทีมที่อยู่ในระดับเดียวกัน

อันดับ 6 เบลเยียม

ทัพปีศาจแดงแห่งยุโรป เป็นอีกหนึ่งทีมที่ประเมินได้ยากมากๆ เพราะความตื่นเต้นของทีมชุดนี้คือเหล่าสตาร์ดังที่ขนมา ทั้ง เควิน เดอ บรอยน์, โรเมลู ลูกากู และ เจเรมี่ โดกู แถม ลูกากู ยังเป็นดาวซัลโวในรอบคัดเลือกอีกต่างหาก (14 ประตู)

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ต้องเจอกับปัญหานอกสนามเล่นงาน เพราะแม้ว่าพวกเขาจะเสียไปแค่ 4 ประตูในรอบคัดเลือก แต่อย่าลืมว่าในรอบสุดท้ายนี้พวกเขาไม่เจอกับทีมระดับ อาเซอร์ไบจาน หรือ เอสโตเนีย หรอกนะ คู่แข่งในรอบสุดท้ายแข็งแกร่งกว่ามาก

อีกทั้งการหายของของผู้รักษาประตูของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ที่แม้ว่าจะกลับมาฟิตเต็มร้อย แต่การที่เขามีปัญหากับ โดเมนิโก้ เทเดสโก้ ก็ทำให้เขาหลุดจากทีมไป และอีกหนึ่งข้อก็คือ แผงเกมรับ ที่เป็นนักเตะชุดจากฟุตบอลโลก 2 ปีก่อนทั้ง แยน แฟร์ทองเก้น และ อักเซล วิตเซล

มันเป็นเรื่องน่าสนุกว่า เมือ่เบลเยียมต้องเผชิญหน้ากับทีมที่ดีที่สุด แนวรับจะยวบหรือไม่ พวกเขาจะเล่นงานคู่แข่งแบบขาดลอยเลยหรือไม่ อันนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไป

อันดับ 5 สเปน

อย่างที่ทราบว่าทัพกระทิงดุเคยครองโลกด้วยการคว้าแชมป์ระดับนานาชาติ 3 ครั้ง ตลอดปี 2008 ถึง 2012 แต่หลังจากนั้นผลงานก็ดิ่งลงเหว ครั้งนี้ต้องมาดูว่าผลงานจะเป็นแบบนั้นอีกรึเปล่า พร้อมกับคำถามว่า พวกเขาจะใช้การครองบอลเล่นงานคู่แข่งได้อีกหรือไม่

คำตอบคือ ไม่ เพราะในปี 2018, 2021 และ 2022 พวกเขาก็เล่นได้ดีกว่าทั้ง รัสเซีย, อิตาลี และ โมร็อกโก แต่ก็ต้องตกรอบด้วยการดวลจุดโทษ แต่การคว้าแชมป์ เนชั่นส์ ลีก ด้วยการเอาชนะ โครเอเชีย ในรอบชิง ก็ทำให้พวกเขากลับมาคุ้นเคยกับความสำเร็จอีกครั้ง และนั่นอาจช่วยพวกเขาได้ในรายการนี้

เมื่อเทียบกับอีก 4 ทีมที่อยู่ในท็อป 5 ตอนนี้ สเปน ก้ไม่ได้เหนือกว่าทีมอื่นมากนัก แต่การที่ให้พวกเขาอยู่ในอันดับ 5 เป็นเพราะการที่ต้องอยู่กลุ่มเดียวกับ อิตาลี และ โครเอเชีย อาจทำให้พวกเขาจะพักไปตั้งแต่เนิ่นๆ

อันดับ 4 เยอรมนี

ย้อนกลับไปปีก่อน เยอรมนี ต้องเจอกับปีที่ย่ำแย่ เพราะแพ้มากถึง 5 จาก 9 เกมในการอุ่นเครื่อง และเอาชนะไปได้แค่ 2 นัดเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ในตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง โดยเฉพาะการเอาชนะ ฝรั่งเศส และ เนเธอร์แลนด์ ได้ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

การประกาศเลิกเล่นของ โทนี่ โครส อาจช่วยให้พวกเขามีแรงกระตุ้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะจากแฟนบอล นอกจากนี้ยังมีนักเตะพรสวรรค์สูงทั้ง อิลคาย กุนโดกัน, จามาล มูเซีย และ ฟลอร็อง เวียร์ตซ์ แต่หนึ่งปัญหานั่นก็คือ ตำแหน่งแบ็คซ้ายและกองหน้าตัวเป้า ที่ยังไม่ค่อยลงตัวนัก

แต่เชื่อว่าในรายการนี้ สาวกทัพอินทรีเหล็กน่าจะไม่ออกตัวเยอะ เพราะจากความล้มเหลวใน 3 เมเจอร์ทัวร์นาเมนท์ที่ผ่านมา แต่จากฟอร์มในเดือนมีนาคม ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่น่าจับตามองอีกครั้ง

อันดับ 3 อังกฤษ

ไม่มีใครสงสัยในคุณภาพของนักเตะจากทัพสิงโตคำราม แต่เป็นเรื่องของสภาพจิตใจ แฮร์รี่ เคน, จู๊ด เบลลิงแฮม และ ฟิล โฟเด้น ล้วนแต่เป็นแนวรุกระดับโลกที่พาทีมผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้แบบสบายๆ แต่เมื่อเข้ารอบน็อคเอาท์ล่ะ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับทีมแกร่งอย่าง ฝรั่งเศส แนวรับของอังกฤษจะรับมือได้หรือเปล่า

ผลงานไร้พ่ายในรอบคัดเลือกนั้นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขารับมือกับใครก็ได้ เพราะต้องเจอกับ อิตาลี ไปจนถึงทีมระดับ มอลต้า เมื่อมองไปที่คุณภาพนักเตะ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องของสภาพจิตใตไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่นักเตะหลายคนได้แชมป์ UCL (ลิเวอร์พูล, เชลซี และ แมนฯ ซิตี้) ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นั่นจะทำให้พวกเขาเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่ไปได้หรือไม่

เรื่องของสภาพจิตใจ รวมกับความไม่แน่นอนของแนวรับ ทำให้พวกเขาดูเป็นรองเมื่อเทียบกับอีก 2 ทีม

อันดับ 2 โปรตุเกส

ทัพฝอยทอง เป็นอีกหนึ่งทีมที่ผ่านมารอบคัดเลือกมาได้แบบไม่ยากเย็นอะไร เห็นได้จากการเก็บชัยชนะ 10 เกมรวด ยิงไป 36 ประตู และเสียไปแค่ 2 ประตูเท่านั้น และดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้าง เมื่อต้องมาอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้หนักหนาอะไรมากมาย

แท้ว่าจะอยู่ในกลุ่มที่มองดูไม่แข็ง แต่เมื่อดูไปที่ขุมกำลังของพวกเขาแล้ว ล้วนแต่เป็นนักเตะที่คุณภาพสูงทั้งหมด นำมาโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ ดิโอโก้ ดาโลต์ นอกจากนี้ยังมีแข้งพรสวรรค์สูงอีกหลาคน จึงเป็นเรื่องยากของ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ในการเลือกใช้งานนักเตะ ให้เข้ากับการเขอคู่แข่งแต่ละทีม

และการที่มีแนวรุกที่นำมาโดย โรนัลโด้ และ แฟร์นันด์ส พร้อมด้วยแดนกลางที่เต็มไปด้วยตัวสร้างสรรค์โอกาส แถมแนวรับยังมีคุณภาพ ทำให้ไม่เแปลกใจที่พวกเขาถูกมองว่าเป็นทีมเต็งในรายการนี้

อันดับ 1 ฝรั่งเศส

ในการแข่งขันครั้งนี้ ทัพตราไก่แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยจากชุดที่เป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 เพราะพวกเขายังยึดมั่นในแท็คติกเดิม พร้อมด้วยสภาพร่างกายนักเตะที่สุดยอด ประกอบการที่มีหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ จึงไม่แปลกใจเลยที่พวเขาคือเต็งแชมป์ในสายตาเรา

ลูกทีมของ ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ต้องลืมความผิดหวังจากการตกรอบรูโบ 2020 ออกไปให้หมด และการเลือก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แทนที่ คาริม เบนเซม่า ทำให้พวกเขาสามารถเล่นในรูปแบบที่คุ้นเคยได้ดีขึ้น เน้นทำเกมแบบรัดกุม แม้ว่าจะไม่ได้ดูเร้าใจอะรไมายมาก แต่ก็พิสูจน์มาแล้วว่ามันได้ผล เห็ได้จากแชมป์โลกเมื่อปี 2018

ส่วนปัญหาหลักๆที่ยังอยู่ก็คืออาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลักอย่าง อูโก้ ยอริส และ ราฟาเอล วาราน รวมไปถึง ลูก้าส์ แอร์กน็องเดซ แต่ดูยังไงขุมกำลังของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี แม้กระทั้งในม้านั่งสำรอง ทำให้พวกเขาดูน่าเกรงขามอย่างมาก

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button