หญิงถูกทารุณปางตาย เพราะครอบครัวสามีเชื่อเป็น “ปีศาจ” กลับชาติมาเกิด
ครอบครัวสามีเข้าลัทธิประหลาด กล่าวหาอดีตลูกสะใภ้เป็น “ปีศาจ” สิงร่างทำร้ายครอบครัว รวมหัวกันทารุณกรรมราวกับเธอไม่ใช่คน
คดีนี้เป็นข่าวคึกโครมมากในประเทศวียดนาม กรณีของนางสาว ท. นามสมมติ อายุ 33 ปี ถูกครอบครัวสามีทำร้ายร่างกายอย่างโหดร้ายเพื่อ “ไล่ผี” โดยนางสาว ด. ถูกทำร้ายและกักขังโดยครอบครัวสามีในนรกบนดินเป็นเวลานาน 5 เดือน ก่อนที่จะมีโอกาสหลบหนีและแจ้งความต่อตำรวจในวันที่ 18 เมษายน 2567
นางสาว ท. เล่าว่าเธอและนาย น. แต่งงานกันในปี 2557 และมีลูกด้วยกัน 3 คน แต่เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2566 เธอ สามี, ลูกๆ, พ่อแม่สามี, และน้องสาวสามีย้ายมาอยู่บ้านเช่าในตัวเมืองพานเทียต เนื่องจากทุกคนในครอบครัวเชื่อว่าบ้านพักเดิมมี “วิญญาณร้าย” สิงอยู่
เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2566 ครอบครัวสามีบังคับให้นางสาว ท. เซ็นใบหย่า แต่หญิงสาวยังคงอาศัยอยู่เพื่อดูแลลูกๆ ต่อไป หลังจากนั้น ครอบครัวอดีตสามีได้เปลี่ยนกุญแจบ้าน ยึดโทรศัพท์ และไม่อนุญาตให้เธอออกไปไหน
กระบวนการทารุณเริ่มขึ้นหลังจากนั้น ครอบครัวนี้ยังทำร้ายร่างกายหญิงสาว โดยอ้างว่าเป็นการไล่ผี บังคับให้เขียนคำสารภาพว่าใช้คุณไสยทำร้ายครอบครัวอดีตสามี ขโมยเงิน มีชู้
เธอถูกบังคับให้ดื่มน้ำเน่าและน้ำยาทำความสะอาด กัดหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
นางสาว ท. เล่าว่า ครอบครัวของเธอเคยมีความสุขตามปกติ แต่ในช่วงต้นปี 2566 ครอบครัวสามีทั้งหมดถูกชักชวนให้เข้าร่วมลัทธิที่ชื่อว่า “เทียนเจียวหน่ำก๊วก” (Thien Trieu Nam Quoc) ครอบครัวสามีเชื่อว่านางสาว ท. เป็นลูกสาวของสุมาอี้ (นักวางแผนการรบในยุคสามก๊กของประวัติศาสตร์จีน) “ปีศาจ” ที่กลับชาติมาเกิดเป็นลูกสะใภ้เพื่อทำร้ายครอบครัวของพวกเขา
นอกจากนี้ ยังมีภาพถ่ายในสื่อสังคมออนไลน์ที่แสดงให้เห็นว่าครอบครัวอดีตสามีของนางสาว ท. ตั้งแท่นบูชาแปลกๆ ขึ้น สถานที่บูชาดังกล่าวอยู่ในที่ดินและบ้านพักของครอบครัวอดีตสามีในเทียนเหงียบ
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา กองสืบสวนตำรวจเมืองพานเทียตได้ประกาศว่าได้ดำเนินคดีและจับกุมผู้ต้องหาสองราย ได้แก่ นาง เหงียน ถิ หงอก ลาน (อายุ 36 ปี) และนาง เหงียน ถิ หว่าย เดียม (อายุ 40 ปี) สมาชิกที่ลงมือก่อเหตุ ตำรวจยังได้ดำเนินคดีและออกคำสั่งห้าม นาย เหงียน ห่ง ตาม (อายุ 50 ปี) แม่ผัว และ นาย จัน หืว ติ๋ง (อายุ 33 ปี) ออกนอกพื้นที่ เนื่องจากมีพฤติกรรม “กักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นโดยมิชอบ”