ข่าว

ผลตรวจ DNA เผยสาเหตุการตาย ‘น้องนุ่น’ ถูกของแข็งกระทบรุนแรง

ผลตรวจ DNA เผยสาเหตุการตาย น้องนุ่น เหยื่อสามีโหด ทอย ศิริชัย พบศีรษะมีรอยแตกตรงแก้มเข้าเบ้าตา เกิดจากของแข็งไม่มีคม กระทบอย่างรุนแรง ร้าวไปยังกระดูกสันจมูก กกหูด้านขวา

ความคืบหน้าผลชันสูตรพลิกศพของ น้องนุ่น นางสาว ชลลดา วัย 27 ปี ซึ่งถูก ทอย ศิริชัย รักทอง สามีทำร้ายร่างกาย ใช้ก้อนอิฐทุบจนเสียชีวิต ล่าสุด พล.ต.ต.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผยผล ตรวจดีเอ็นเอของผู้ตาย

หลังจากนำร่างที่ถูกเผานั่งยางที่ป่ายาง จ.ปราจีนบุรี มาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของแม่น้องนุ่น ปรากฏ ตรงกัน ทำให้พิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน ยืนยันศพดังกล่าว คือ น้องนุ่น ชลลดา โดยพบว่าศีรษะมีรอยแตกที่บริเวณแก้มเข้าเบ้าตา ร้าวไปยังกระดูกสันจมูกและกระดูก “กกหูด้านขวา” โดยรอยร้าวดังกล่าวเกิดจากของแข็งชนิดไม่มีคม กระทบเข้าอย่างรุนแรง

ด้าน เจ้าหน้าที่ได้ประสานให้ตำรวจเจ้าของคดี แจ้งกับครอบครัวผู้ตายให้มารับศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในส่วนของคดีความการเอาผิดนั้น หลังกลับจากทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตำรวจได้นำตัว ทอยพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติ พร้อมแจ้ง 3 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา, ปิดบังอำพรางซ่อนเร้นศพ และ แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ปัจจุบันถูก คุมขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดนนทบุรี

ข่าวน้องนุ่น
แฟ้มภาพ

อ้างอิงข้อมูลจาก กรมราชทัณฑ์ กรณีนายศิริชัยจัดเป็นผู้ต้องขังระหว่างคดียังไม่สิ้นสุด โดยกรมราชทัณฑ์จะยังไม่แยกกลุ่มชัด และมีนักจิตวิทยาเข้าไปร่วมดูแล

อย่างไรก็ตาม ในคดีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นที่มีรูปแบบสะเทือนขวัญเช่นนี้ กรมราชทัณฑ์จัดเป็นกลุ่มวอชลิสต์ (Watchlist) หรือ “กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง” เป็นนักโทษในชั้นต้องปรับปรุง หรือปรับปรุงอย่างมาก หากมีสิทธิอภัยโทษใดจะไม่ได้รับการพิจารณา และถ้าก่อปัญหาซ้ำในเรือนจำ จะถูกส่งตัวแยกขัง หรือไปขังที่เรือนจำความมั่นคงสูง ซึ่งกรณีนายศิริชัย ยังเป็นผู้ต้องขังระหว่างคดีไม่สิ้นสุด สิทธิที่พัก อาหาร และดูแลอาการเจ็บป่วยเป็นตามมาตรฐานสากล.

Pachara

นักเขียนประจำที่ Thaiger จบการศึกษาด้านศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เคยผ่านประสบการณ์ผู้สื่อข่าวกีฬา เริ่มเขียนบทความกับ Thaiger ตั้งแต่ปี 2021 วิ่งกับการอ่านหนังสือ คือ กิจกรรมที่สนใจเป็นพิเศษ ช่องทางติดต่อ pachara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button