คลังแจงแล้ว เงินดิจิทัล 10,000 บาท ใครต้องยืนยันตัวตนใหม่บ้าง เผยสาเหตุที่ต้องยืนยันตัวตน KYC พร้อมเช็กวิธียืนยันตัวตน และเงื่อนไขการใช้ดิจิทัลวอลเล็ต
หลังจากปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ให้สอดคล้องความเป็นไปได้ของโครงการ และความสะดวกต่อผู้มีสิทธิ์ในโครงการเงินดิจิทัล (Digital Wallet) 10,000 บาท วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2566 มีรายงานว่า นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาชี้แจงเงื่อนไขการยืนยันตัวตนแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ผู้ที่ต้องยืนยันตัวตน KYC
ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการรัฐของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ต้องยืนยันตัวตน KYC โดย ณ ขณะนี้ มีผู้ที่ต้องยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์ดิจิทัลวอลเล็ตราว 10 ล้านคน
สำหรับผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการรัฐก่อนหน้า เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นต้น ไม่ต้องยืนยันตัวตนแต่อย่างใด หากเข้าหลักเกณฑ์และเงื่อนไข มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทได้ทันที
ทำไมต้องยืนยันตัวตน KYC
การยืนยัน KYC ที่ย่อมาจาก Know Your Customer เป็นกระบวนการที่สถาบันการเงินใช้ตรวจสอบตัวตนผู้ใช้บริการ โดยใช้เอกสารทางราชการออกข้อมูลส่วนตัวให้ เช่น เช่น ชื่อและนามสกุล ที่อยู่ วันเกิด โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
การยืนยันตัวลักษณะนี้ ช่วยให้รัฐบาลสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ช่วยป้องกันการทุจริตหรือปลอมแปลงข้อมูลในการทำธุรกรรม และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการอีกด้วย เนื่องจากผู้มีสิทธิ์ในโครงการต้องโหลดแอปฯ ถ่ายบัตรประชาชน กรอกเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ถ่ายรูปใบหน้าสแกนตัวตน และจะแจกในระบบบล็อกเชน ผ่าน Super App
วิธียืนยันตัวตน KYC
การยืนยันตัวตน KYC สามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธี มีรายละเอียดดังนี้
1. ผู้มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท สามารถยืนยันตัวตนด้วยตนเองที่ทุกธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ โดยนำบัตรประชาชนสมาร์ตการ์ด หรืออาจใช้กระดาษที่มี QR Code ให้ประชาชนสแกนเพื่อลงทะเบียนยืนยันตัวตน
2. ผู้มีสิทธิ์สามารถยืนยันตัวตนในช่องทางออนไลน์ที่เรียกว่า E-KYC ผ่านแอปพลิเคชัน Super App คาดการณ์ว่าวิธียืนยันตัวตน KYC ไม่ต่างจากการยืนยันตัวตนในแอปพลิเคชันเป๋าตัง
ยืนยันยกเลิกใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร
ระยะรัศมีการใช้จ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาท รมว.คลัง ยืนยันแล้วว่า ขณะนี้ยกเลิกใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตรแล้ว และคณะอนุกรรมการฯ กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้ผู้มีสิทธิ์สามารถใช้จ่ายในเขตตำบล อำเภอ และจังหวัด โดยคาดว่า สามารถเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง