ภาวะ “เลือดหนืด เลือดข้น” ภัยเงียบใกล้ตัว ถ้าไม่รีบแก้อาจถึงแก่ชีวิตได้
เปิดสาเหตุ “เลือดหนืด เลือดข้น” พร้อมวิธีการรักษา เพื่อป้องกันภัยเงียบที่อาจส่งผลให้ลิ่มเลือดอุดตัน อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
หลายคนอาจไม่ตระหนักว่าภาวะ เลือดหนืด เลือดข้น ปัญหาสุขภาพใกล้ตัวมากกว่าที่คิด หนึ่งในภัยเงียบที่มักถูกมองข้าม วันนี้ Thaiger เลยถือโอกาสรวบรวมสาระน่ารู้ เกี่ยวกับวิธีสังเกตอาการ พร้อมเจาะลึกสาเหตุที่ทำให้เลือดข้น เกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำน้อยเกินไปจริงหรือไม่? งานนี้บอกเลยว่ามีวิธีการรักษา และที่สำคัญยิ่งรู้ตัวเร็วยิ่งปลอดภัยมากขึ้นแน่นอน!
เช็กอาการ ภาวะเลือดข้น-เลือดหนืด รักษายังไงบ้าง?
เลือดข้น มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า (Polycythemia) เป็นภาวะที่ผู้ป่วยมีความเข้มข้นของเลือดสูง เนื่องจากไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดมากเกินไป หรือปริมาณน้ำเลือด (พลาสมา) ลดลง จนกระทบต่อระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย
อาการ เลือดข้น-เลือดหนืด
ผู้ที่มีภาวะเลือดหนืดข้น จะแสดงออกทางร่างกายที่แตกต่างกันไป ซึ่งหากใครสังเกตเห็นว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
- วิงเวียน ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ตาพร่าเบลอ มองเห็นผิดปกติระหว่างวัน
- หน้า มือ เท้า แดงผิดปกติ
- รู้สึกอ่อนเพลีย แน่นหน้าอก
- ความดันโลหิตสูง
- เลือดกำเดาไหลง่ายและบ่อยขึ้น
- ปวดบวมตามข้อ หรือมีอาการของโรคเกาต์
- มีรอยฟกช้ำบนร่างกาย
สาเหตุที่ทำให้เลือดข้น
ปัญหาเลือดข้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ ปัจจัยที่เกิดจากภายใน เนื่องจากไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงมากเกินไป และปัจจัยภายนอกที่ได้รับการกระตุ้นจนพลาสมาลดลง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำน้อยอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงมากเกินไป (Absolute Polycythemia)
- ความผิดปกติทางพันธุกรรมเจเอเคทู (JAK2) มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ เนื่องจากกลไกในร่างกายอย่างไขกระดูก ได้ทำการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มากเกินไป ทั้งยังมีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดมากกว่าที่ร่างกายต้องการอีกด้วย
- ร่างกายผลิตฮอร์โมนอีริโทโพอิติน (Erythropoietin) มากเกินไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ในกลุ่มคนที่ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรั้ง หรือผู้ที่หยุดหายใจขณะนอนหลับ จนออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไม่เพียงพอ
ปริมาณน้ำเลือดหรือพลาสมาลดลง (Apparent Polycythemia)
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เลือดหนืดข้น เป็นเพราะปริมาณน้ำเลือดหรือพลาสมาลดลง เนื่องจากพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของผู้ป่วย อาทิ
- สูบบุหรี่จัด
- น้ำหนักเยอะเกินมาตรฐาน
- ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ใช้ยาขับปัสสาวะ
- ร่างกายขาดน้ำ
วิธีการรักษา ภาวะเลือดข้น
หากใครที่พบว่าตัวเองมีอาการเลือดข้น อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะหากยิ่งรู้ตัวเร็วก็ยิ่งมีโอกาสรักษาจนอาการดีขึ้นได้ ซึ่งในปัจจบุันแพทย์มีวิธีการรักษาหลัก ๆ อยู่ 2 แนวทาง ดังนี้
ถ่ายเลือด (Phlebotomy)
การถ่ายเลือดโดยการใช้เข็มเจาะเส้นเลือดที่แขน แล้วหมุนเวียนเลือดออกจากร่างกาย จะช่วยลดเซลล์เม็ดลือดแดงที่ไขกระดูกผลิตออกมามากเกินความจำเป็นได้
วิธีนี้ผู้ป่วยจะต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่อเนื่องทุก 6 – 12 สัปดาห์ เพื่อเฝ้าสังเกตอาการและรักษาระดับให้ความข้นของเลือดให้ลดลงราว 45%
แต่การรักษาภาวะเลือดข้นด้วยการถ่ายเลือด อาจทำให้เส้นเลือดที่แขนเสียหายจากการถูกเจาะเพื่อถ่ายเลือดซ้ำ ๆ ทั้งยังทำให้ผู้ป่วยมีความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าง่ายในช่วงหลังการถ่ายเลือด
รักษาด้วยการใช้ยา
อย่างที่ทราบว่าภาวะเลือดข้น อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงแทรกซ้อนหลายโรค ดังนั้น แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วย รีบรักษาด้วยการใช้ยา เพื่อชะลอไม่ให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงมากเกินไป โดยยาที่มักใช้รักษาผู้ป่วยเลือดหนืดข้น มีดังนี้
- ไฮดรอกซียูเรีย (Hydroxyurea) : ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดภาวะแทรกซ้อน เช่น ม้ามโต ในกลุ่มผู้ป่วยเลือดข้น
- แอสไพริน (Aspirin) : ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และช่วยต้านเกร็ดเลือดได้
- อินเตอร์เฟอรอนอัลฟ่า (Interferon-Alpha) : ชะลอการผลิตของเซลล์เม็ดเลือดแดง
นอกจากนี้ผู้ที่มีภาวะเลือดหนืด-เลือดข้น ยังสามารถดูแลตัวเองเพิ่มเติม ด้วยการออกกำลังกายกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น ตลอดจนดื่มน้ำให้มากขึ้นได้เช่นกัน.
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท