รวบ ตำรวจราชเทวีเรียกรับเงิน 3.2 ล้าน เจ้าตัวอ้างไม่รู้ว่าเป็นเงินในซอง
ปปป. ร่วมกับ ปปท. รวบ ตำรวจราชเทวีเรียกรับเงิน 3.2 ล้าน แลกไม่ต้องจ่ายภาษี เจ้าตัวอ้างไม่รู้ว่าเป็นเงินในซองเอกสาร สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว
ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ร่วมกับ ร่วมกับเจ้าหน้าที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ปปท. ร่วมจับกุมนายประมวล เจ้าหน้าที่ตำรวจราชเทวีเรียกรับเงิน เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157
นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการ ปปท. เปิดเผยว่า คดีนี้เกิดจากผู้เสียหายมอบหมายตัวแทนให้เข้าไปชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน โดยเจ้าหน้าที่เขตคนดังกล่าวแจ้งว่าจะต้องเสียภาษีกว่า 40 ล้านบาท แต่หากนำเงินมาให้ 3 ล้านบาทจะเก็บเรื่องไว้ ไม่ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าว
จากนั้น บริษัทจึงแจ้งว่าเงิน 40 ล้านบาทนั้นสูงเกินจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่เขตขอเพิ่มเงินเป็น 3,500,000 บาท โดยอ้างว่าต้องนำไปแบ่งกับกรรมการอีกหลายคน จนสุดท้ายไกล่เกลี่ยกันจนเหลือ 3,200,000 บาท แต่บริษัทเห็นว่าเจ้าหน้าที่เขตกระทำการผิดกฎหมาย จึงร้องเรียนให้ตรวจสอบเพื่อดำเนินคดี
ตำรวจและผู้เสียหายจึงร่วมกันวางแผนเข้าจับกุม โดยได้นำเงินที่จะไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่เขตไปลงบันทึกประจำวันไว้ พร้อมระบุหมายเลขไว้บนธนบัตร เมื่อถึงเวลานัดหมาย ผู้เสียหายได้ส่งมอบเงินให้กับเจ้าหน้าที่เขต โดยใส่ในซองเอกสาร ซึ่งเจ้าหน้าที่เขตได้ขับรถของสำนักงานเขตราชเทวีมารับเงินจำนวนดังกล่าว ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นและพบเงิน 3,200,000 บาท ซึ่งเป็นธนบัตรที่เลขตรงกับที่ได้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ จึงควบคุมตัวมาสอบสวน
เบื้องต้น นายประมวล ให้การปฏิเสธ อ้างไม่ทราบว่าสิ่งของที่อยู่ในซองเอกสารที่ผู้เสียหายนำมาส่งมอบให้นั้นเป็นเงินสด คิดว่าเป็นเพียงซองเอกสารเท่านั้น ก่อนนำตัวส่ง พงส.กก.1 บก.ปปป. แจ้งข้อกล่าวหา พร้อมเร่งสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนําส่งสํานวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตามกฎหมายต่อไป
ด้านกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เขตคนดังกล่าวย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร และตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ก่อนจะพิจารณาให้ออกจากราชการไว้ก่อน