นายกสมาคมนิติเวชฯ ย้ำ ปริมาณแอลกอฮอลล์ในเลือด ลดลงตามชั่วโมง
นายกสมาคมนิติเวชแห่งประเทศไทย ย้ำ ปริมาณแอลกอฮอลล์ในเลือด ลดลงตามชั่วโมง หลังใช้เวลา 4 ชั่วโมงก่อนตรวจเลือดคนขับเบนท์ลีย์
ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย และหัวหน้าห้องปฏิบัติการนิติเวชศาสตร์ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์แสดงความเห็นเฟซบุ๊ก ก่อนที่ผลตรวจเลือดคนขับรถเบนท์ลีย์จะออกมาว่ายู่ที่ประมาณ 10 กว่ามิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามกฎหมายถือว่าไม่มีความผิดเมาแล้วขับ จนนำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้นั้น
ผศ.นพ.สมิทธิ์ กล่าวว่า “ที่ตำรวจไม่ได้ให้เป่าลมหายใจตรวจหาแอลกฮอล์ในเลือดของคนขับรถ แต่ส่งไปให้แพทย์เจาะเลือดส่งตรวจแทน
จริงๆ พอยอมรับได้นะครับกับการให้เจาะเลือด แต่ต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์ด้วย ว่า “แอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ป่วยจะหายไปทุกๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป” ดังนั้นผลเเอลกอฮอล์ในเลือด ณ เวลาที่เจาะ จะใช้ไม่ได้ ต้องส่งให้แพทย์นิติเวชทำการคำนวณหาแอลกอฮอล์ในเลือด ณ เวลาที่เกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ต้องส่งคนขับรถไปเจาะตรวจเลือดให้เร็วที่สุด ถ้ามีการประวิงเวลาในการตรวจ เท่ากับเป็นการปฏิเสธการตรวจได้เลย
เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ผมเห็นมานานว่า ในไทยทางตำรวจไม่ค่อยมีการส่งให้แพทย์ทำการคำนวณย้อนกลับกัน ทั้งๆ ที่ต่างประเทศทำกันเป็นเรื่องปกติ หรือในไทยบริษัทประกันชีวิตก็มีการให้คำนวณแบบนี้แล้ว
นอกจากนี้บางทียังมีการส่งคนขับรถไปโรงพยาบาลให้เจาะเลือดช้า บางทีที่เคยเจอคือ ไม่กำหนดให้ไปเจาะเลยทันที ให้ไปตอนเช้าอีกวันเลยก็มี ซึ่งแบบนี้แทบไม่มีความหมายเลยครับ
นอกจากนี้ ในการเลือกให้เป่าลมหายใจตรวจแอลกฮอล์หรือเจาะเลือด ตามกฎหมายระบุว่าให้ตรวจจากการเป่าลมหายใจก่อน ถ้าไม่สามารถทดสอบได้ จึงตรวจจากเลือด ดูได้ตามรูป ดังนั้นไม่ควรอ้างว่าตรวจจากเลือดแปลผลดีกว่า แล้วไม่ตรวจลมหายใจ ทั้งๆ ที่คนขับรถสบายดี เพราะผิดหลักกฎหมายและการตรวจช้าลงก็ได้ผลที่ถูกต้องช้าลงด้วย
ปล. หากเคสนี้ไม่มีการคำนวณย้อนกลับ สามารถเชิญผมไปเป็นพยานเพื่อช่วยในการคำนวณได้นะครับ”