รู้จัก ‘เชื้อไมโคพลาสมา’ (Mycoplasma) แบคทีเรียตัวร้าย สู่ภาวะหัวใจอักเสบ
ทำความรู้จัก “โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา” (Mycoplasma infections) ภัยอันตรายที่คร่าชีวิตผู้คนโดยไม่รู้ตัว โรคติดเชื้อไมโคพลาสมานั้นเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจในขณะนี้ เนื่องจากการติดเชื้อไมโคพลาสมาอาจส่งผลร้ายต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์ รวมไปถึงการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะภาวะหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อไมโคพลาสมาที่รุนแรงถึงชีวิต แม้จะดูเหมือนเป็นอาการของไข้หวัดธรรมดา แต่ก็ไม่ควรประมาท
ไมโคพลาสมา (Mycoplasma) คืออะไร
สำหรับไมโคพลาสมานั้น เป็นกลุ่มแบคทีเรียพบได้ทั่ว ๆ ไป มีอยู่ประมาณ 200 ชนิด แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดโรค อีกทั้งยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ไมโคพลาสมายังไม่มีผนังเซลล์อีกด้วย ทำให้ยาปฏิชีวนะบางชนิดไม่สามารถรักษาได้ เพราะโดยปกติแล้วยาปฏิชีวนะจะทำให้ผนังเซลล์ของแบคทีเรียอ่อนแอ
แม้เชื้อไมโคพลาสมาจะเป็นแบคทีเรียตามธรรมชาติ แต่ด้วยขนาดเล็กจึงทำให้แพร่กระจายง่าย โดยสามารถติดจากคนสู่คนได้ ทางแพทย์จะแบ่งโรคติดเชื้อชนิดนี้ตามตำแหน่งที่เกิดโรค ซึ่งมีเชื้อไมโคพลาสมา 5 ชนิด ที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะทำให้เกิดโรค ได้แก่
1. Mycoplasma pneumonia
2. Mycoplasma genitalium
3. Mycoplasma hominis
4. Ureaplasma urealyticum
5. Ureaplasma parvum
สำหรับเชื้อชนิด Mycoplasma pneumonia จะส่งผลโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจ ส่วนเชื้อชนิดอื่น ๆ ที่เหลือจะส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิงและเพศชาย
อาการติดเชื้อไมโคพลาสมาต่อระบบทางเดินหายใจ
หากร่างกายได้รับเชื้อไมโคพลาสมาชนิด pneumonia จะส่งผลให้เกิดโรคทางเดินหายใจ ทั้งทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง ซึ่งผู้ป่วยติดเชื้อไมโคพลาสมาอาจมีอาการดังต่อไปนี้
1. อาการต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน
- ไอ
- มีน้ำมูก
- เจ็บคอ
- ปวดหัว
- มีไข้ต่ำ ๆ
2. อาการต่อระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง
- ปอดอักเสบ
- ปอดบวม
- ปอดติดเชื้อ
สำหรับการติดต่อของเชื้อไมโคพลาสมาชนิด pneumonia จะเกิดจากการหายใจเอาละอองที่มีเชื้อเข้าไปในร่างกาย มักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เนื่องจะมีการไอและจาม ทำให้เชื้อแพร่กระจายปะปนในอากาศ
อาการติดเชื้อไมโคพลาสมาต่อระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์
เมื่อได้รับเชื้อไมโคพลาสมาชนิด genitalium, hominis, Ureaplasma urealyticum และ Ureaplasma parvum จะทำให้เกิดการอักเสบที่ท่อปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ โดยสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิงผ่านการมีเพศสัมพันธ์ จึงนับว่าเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง
สำหรับอาการที่เกิดขึ้นนั้นจะพบหลังจากติดเชื้อประมาณ 1-3 สัปดาห์ (ระยะฟักตัวของโรค) โดยจะพบว่ามีอาการดังนี้
1. อาการติดเชื้อในเพศชาย
- ปัสสาวะแสบขัด
- หนองไหลจากท่อปัสสาวะ
- ท่อปัสสาวะอักเสบและบวม
2. อาการติดเชื้อในเพศหญิง
- ตกขาวผิดปกติ
- เจ็บหรือแสบอวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกอวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์
- ปากมดลูกอักเสบ
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ
ติดเชื้อไมโคพลาสมาที่หัวใจ ภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิต
แม้การติดเชื้อไมโคพลาสมาจะสามารถเกิดขึ้นได้ในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์ แต่ก็สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อติดเชื้อไมโคพลาสมาที่หัวใจก็อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจอักเสบได้
แม้จะพบว่าการเกิดภาวะหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อไมโคพลาสมานั้นมีเปอร์เซนต์น้อย แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวแล้วก็สามารถมีอาการรุนแรงถึงชีวิตได้
วิธีรักษาโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาชนิดต่าง ๆ
หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไมโคพลาสมา แพทย์จะทำการรักษาด้วยการจ่ายยาปฏิชีวนะกลุ่ม macrolides หรือ doxycycline ซึ่งหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็จะหายป่วยเร็วขึ้น แต่ถ้าหากผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงก็จำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการที่บ่งบอกได้ว่าอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังนี้
- มีไข้ขึ้นสูงมาก
- ไอแห้ง ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน
- ไอเป็นเลือด
- หายใจหอบเหนื่อยผิดปกติ หรือหายใจเร็ว
- เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ
- แน่นหน้าอกด้านซ้าย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- แขนขาอ่อนแรง ชักเกร็ง มีจุดเลือดตามร่างกาย
- ปัสสาวะสีเข้มมาก
วิธีป้องกันตัวจากโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา
ปัจจุบันโรคไมโคพลาสมายังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกัน แต่สามารถปฏิบัติตัวตามข้อแนะนำต่อไปนี้เพื่อลดโอกาสติดเชื้อไมโคพลาสมาได้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แคบและมีคนแออัด
- สวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ
- รักษาความสะอาด ใช้ช้อนกลาง เมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
แม้ว่าผู้ป่วยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมาส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อาจทำให้อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อตรวจพบว่าร่างกายมีความผิดปกติในเบื้องต้นก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโรคและรักษาอาการป่วยโดยเร็วที่สุด อย่านิ่งนอนใจว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา เพราะอาจมีอาการรุ่นแรงแฝงอยู่ทำให้เสียชีวิตได้