แบตเหลือ 1% ในร้านกาแฟ ขอชาร์จคิด 300 หนุ่มโพสต์ถาม เกินปุยมุ้ย
ร้านกาแฟ เน็ตแรง คาเฟ่มีปลั๊ก หลบไป ร้านกาแฟย่านพุทธมณฑลสาย 2 ลูกค้าแบตเหลือ 1% ขอชาร์จ 5 นาที เก็บค่าชาร์ตมือถือ 300 บาท ถาม แบบนี้ร้านไม่เห็นอกเห็นใจหรืออยู่ในส่วน Service Charge คำง่าย ๆ แต่ความหมายสุดลึกล้ำ
โพสต์เด่น ประเด็นร้อนเคลื่อนไหวไฟแห่งดราม่าบนโลกออนไลน์เที่ยวล่าสุด วันที่ 20 กันยายน 2565 บังเกิดขึ้น ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ย่านพุทธมณฑลสาย 2 หลังจากมีคนบอกเล่าเหตุการณ์การไปใช้บริการคอฟฟี่ช็อปดังกล่าว
แล้วเจ้าของโพสต์ต้นฉบับ ระบุเนื้อหา ได้ไปใช้บริการร้านกาแฟในย่านพุทธมณฑลสาย2 จากนั้นแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือเจ้ากรรม พลังอ่อนเหลือน้อยเพียง 1% เจ้าของเครื่องที่ไปใช้บิรการร้านกาแฟจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากทางร้าน เนื่องจากเกรงว่า หากมือถือดับสิ้นจะติดต่อใครไม่ได้ในยามฉุกเฉิน
แต่สุดท้ายจากความจ่อก้าวเท้าไปใกล้ โลกแห่งการสาอสารที่ใกล้คำว่า ดับสูญอยู่นั้น จู่ ๆ คำตอลกลับจากทางเจ้าของร้านขายเครื่องดื่มตัวช่าวยถ่างกระบอกตา กลับพูดจาดกลับเจ้าของมือถือมา โดยระบุ ถึงราคาค่าชาร์ตพลังงานเครื่องมือสื่อสารดังกล่าว สนนราคาการชาร์ตพลังงานกับเต้าเสียบของทางร้านที่ 300 บาท !!!
“พี่คิด 300 ค่ะ” ประโยคคำตอบที่หล่นมาจากสีหน้าขึงขังจริงขจังในการคิดค่าเซอร์วิตชาร์ตนี้ พร้อมย้ำด้วยว่า “ปกติพี่ไม่อนุญาตให้ลูกค้าชาร์จแบตในร้านค่ะ”
หลังจากได้ยินดังนั้น ลูกค้ายอมรับว่า รู้สึกได้ถึงความตกใจปริมาณมหาศาลที่คลั่งอยู่ในอก เพราะเขาจะขอชาร์จเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วตัวเขาจะพกแบตเตอร์รี่สำรองไปด้วยเสมอ แต่วันนี้ลืมพกมา ทำให้จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากร้าน
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ตัวเขาก็ไม่ได้เดินเข้าไปขอชาร์จแบตเฉยๆ แต่เขาเป็นลูกค้าที่รับประทานอาหารและเครื่องดื่มกับทางร้านอยู่กอ่นแล้ว ใยฝั่งผู้ประกอบการจึงมีความเห็นอกเห็นใจเท่ากับ 0 (ตัวเลขศูนย์) เช่นนี้
“เมนูร้านคุณราคาแพงเกือบเท่าร้านกาแฟเจ้าใหญ่ๆในตลาด แต่การ Service และความ Sympathy = 0 รู้ว่า ไม่ให้ชาร์จแบตอะเข้าใจ แต่การขอความเห็นใจขอชาร์จ 5 นาที คิด300 บาท คือเกินไปหรือเปล่า ? ”
คำถามที่ถูกหย่อนลงบนโลกโซเชียลที่ให้เหล่านักขับเคลื่อนของยุคแห่งดาบสองคมได้ถกเถียงเพื่อหาคำตอบหรือสนองความคับข้องใจกันอย่างรื่นเริงในแง่สังคมที่จุดติดง่ายๆ ด้วยความเร้าอารมณ์ของเพลิงโหมอันโชติช่้วงด้วยประเด็นดราม่า