บันเทิง

อ้อน เกวลิน เผยสาเหตุหายจากวงการบันเทิงนานหลายปี

อ้อน เกวลิน เผยสาเหตุหายจากวงการบันเทิงนานหลายปี

ห่างหายจากวงการไปนานกว่า 10 ปี สำหรับนักร้อง นักแสดงคนสวยอ้อน เกวลิน งานนี้เจ้าตัวก็ได้ออกมาเปิดใจเล่าเรื่องราวในรายการ คุยแซ่บ Show ว่าหายไปไหนมา ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง และยังพาลูกๆ ทั้ง 2 คนมาร่วมในรายการอีกด้วย

ไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรมา

จริงๆ ไม่ได้หายไปนานนะ 20 ปีเอง หลายคนก็จะบอกว่าหาย แต่จริงๆ ในใจก็ไม่ได้หาย แต่ว่าแค่ไม่ได้รับละคร คนจะติดภาพเราเล่นละครบ่อย พอไม่รับละครก็เลยเหมือนหายไป จบจากละครปุ๊บก็ไปเป็นนักร้องเต็มตัว หลังจากนั้นก็เดินสายทัวร์คอนเสิร์ต มีเพลง กลายเป็นว่าภาพละครหายไปเลย ตอนที่เราเป็นนักร้องก็ค่อยๆ ดังนะ ตอนนั้นอ้อนน่าจะเป็นนักร้องคนเดียวในประเทศไทยมั้ง ที่มีเพลงเดียว อัลบั้มเดียวทัวร์ไป 3 ปี

ตอนนี้มีลูก 2 คนแล้ว

อิคคิว 10 ขวบ คนที่ 2 ไอค่อน 4 ขวบ ที่อายุห่างกันเพราะอิคคิวเป็นลูกของสามี ไม่ได้แต่งงาน เขามาแต่งกับอ้อน อ้อนเลี้ยงเขามาตั้งแต่แบเบาะ เดิมทีไม่ได้เป็นคนรักเด็ก เป็นคนเลือกที่จะทำงาน ด้วยความที่เราทำงานมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยอุ้มหลานคนไหนในบ้านเลย เราก็ไม่ชอบเด็ก เวลาทำงานอ้อนก็จะบอกว่าไม่ชอบเด็กเลย แล้วต้องมาดูแลเขา มาอยู่กับเขา คำเดียวก็คือเรารักแฟนเรา รักทุกคนที่เกี่ยวข้อง

กลัวไหมที่เด็กจะรู้สึกรักเขาไม่เท่ากัน

เราพยายามให้เขารู้สึก คือซื้ออะไรก็จะมีทั้ง 2 อัน แล้วก็จะพยายามบอกเขาตลอด ว่าที่ไปที่มาเป็นยังไง มันก็จะมีโมเม้นต์ที่เขาจะไปคุยกับพ่อเขาจริงๆ ว่าแม่ไม่ชอบเด็กเหรอ แม่ไม่รักเด็กใช่ไหม อิคคิวต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต้องพัฒนาใช่ไหม เขาพยายามเข้าหาเราด้วย อ้อนก็พยายามที่จะปรับตัว แล้วก็พยายามไม่แบกอะไร ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนประเภทเพอร์เฟคชั่นนิสต์ คือทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย

อีกอย่างอ้อนแยกออกมาจากบ้านแม่ แต่ก่อนอยู่กับแม่กับน้อง เป็นครอบครัวใหญ่ แล้วพอตัดสินใจเอาเขามาเลี้ยงที่กรุงเทพ เขาเพิ่งมาจากเชียงราย เขาเพิ่งย้ายโรงเรียน เพิ่งมาอยู่เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา เลยกลายเป็นว่าครอบครัวอ้อนตอนนี้ต้องปรับเป็นการใหญ่ เหมือนแยกออกมา แล้วมาสร้างครอบครัวกันเอง เขาก็เลยบอกว่าออกมาตรงนี้เพราะอิคคิวใช่ไหม ต้องมาหาโรงเรียน กลายเป็นว่าปีนี้ปรับตัวเยอะมากและยุ่งมาก

รวยมากแต่ก็ยังสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเงิน

ใช่ คืออ้อนมาจากการที่เราลำบาก กว่าเราจะได้เงิน พ่อแม่ก็ไม่ได้มีฐานะอะไร เราจำความลำบากของแม่ได้ บวกกับกว่าที่อ้อนจะมีวันนี้ได้ กว่าจะได้ทำงาน กว่าจะเก็บเงิน อ้อนก็มาจากไม่มีมาก่อน

ที่บอกว่าลำบากนี่ลำบากขนาดไหน

เคยมีเงินเหลือแค่ 400 บาทในชีวิต ตอนนั้นเราเข้าวงการแล้ว มันมีช่วงหนึ่งที่อ้อนไปทำธุรกิจส่วนตัว แล้วเรารอเงินที่มันจะเกิดขึ้น ช่วงเวลานั้นมีแค่นั้นจริงๆ กับสามี ก็เลยเป็นความรักที่มีต่อสามี เรามองไม่เห็นเลยว่าเราจะทะเลาะกันวันไหน หรือวันที่เลิกกับเขา เพราะเราผ่านความลำบากมาด้วยกัน

ย้อนไปสมัยตอนที่เราเด็กๆ ทานข้าวต้องทานจานเดียวกัน?

คุณแม่เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนเลี้ยงลูกมาทุกคน อ้อนเป็นพี่คนโต มีน้องสาวอีก 2 คน เลยรู้เลยว่ากว่าแม่จะเลี้ยงเราลำบากมาก เขาบอกว่าเอาโซ่ล่ามขาลูกเอาไว้แล้วก็ไปทำงาน ต้องรอพ่อกลับมาก่อนที่จะได้กินข้าวจานเดียวกัน หมายความว่าแม่ไม่เหลือเงินที่จะซื้อข้าวได้อีกจาน ต้องรอกินพร้อมพ่อ แล้วเงินที่เหลือก็เป็นค่านมให้อ้อนกับน้องสาว เราเห็นความยากลำบากของแม่ พอโตขึ้นมาหน่อยบ้านเราอยากจะกินหมอนทอง แม่ก็เล่าให้ฟังว่า ต้องไปกู้เขา กู้เงินเพื่อได้กินหมอนทองกันทั้งบ้าน แล้วพวกเราก็นั่งล้อมวง ตั้งหน้า ตั้งตาเพื่อจะได้กินของอร่อย

พอเข้าวงการบันเทิง ทำให้ครอบครัวดีขึ้นไหม

ดีขึ้นมาก เป็นครั้งแรกที่เราได้เงินแสน

เริ่มแรกคุณพ่อพาไปประกวด?

ใช่ คอฟฟี่เมต ชาเลนจ์ ตอนนั้นเราเฉยๆ ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ต้องไปเจออะไร พ่อบอกให้ไปทำก็ไปทำ

ซื้อบ้านได้ตำแหน่ง?

ใช่ แต่ตอนเขาบอกคุณผ่านการคัดเลือกให้ไปสัมภาษณ์ ดีใจมาก แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร

แสดงว่าการเข้าวงการบันเทิง คือการพลิกชีวิตของครอบครัวอ้อน?

มาก แต่บอกตรงๆ อ้อนไม่เคยกลัวความยากจนเลย ถึงแม้ว่าขึ้นสุดแล้วลงสุดก็ไม่เคยกลัว

ตอนที่อ้อนมาเล่นละครเห็นว่า พี่ดู๋ สัญญา เป็นคนพาไปเล่น เห็นว่าอยากขอโทษพี่ดู๋ด้วย เรื่องอะไร

อยากจะบอกว่ามีชื่อเสียง มีละครให้ทุกคนได้เห็น มาจากการเลือกในวันนั้นของพี่ดู๋ หลังจากที่เราชนะคอฟฟี่เมตชาเลนจ์ เรายังไม่มีโอกาสได้ร้องเพลง แต่มีพี่เขาพาไปแคสติ้งบริษัทนึง แล้วนั่นคือผลงานชิ้นแรกที่พี่ดู๋เป็นผู้กำกับ แกก็เลยอยากมีส่วนร่วมในการแคสติ้ง นั่นคือวันแรกที่อ้อนได้เจอพี่ดู๋ พี่ดู๋บอกให้ทำอะไรอ้อนทำหมดเลย แล้วพี่ดู๋ก็เลยบอกว่า ฉันเอาคนนี้ ปรากฎพอวันไปออกกองถ่ายจริงๆ อยู่ๆ เป็นอะไรไม่รู้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง อ้อนกลายเป็นนักแสดงที่เดินไปด้วย พูดไปด้วยไม่ได้ ต้องหยุดแล้วค่อยพูด ถึงขั้นพี่ดู๋พูดใส่หน้าอ้อนว่าพี่ผิดเองที่เลือกเรา ตอนนั้นเราก็รู้สึกอยากตาย รู้สึกขอโทษมากๆ ร้องไห้ไม่รู้กี่รอบ แล้วบอกกับตัวเองว่าฉันจะไม่เล่นละครอีกต่อไป แต่มาอีก 50 เรื่อง

ถ้าตอนนี้พี่ดู๋ ดูอยู่อยากบอกอะไร

ไม่เคยมีโอกาสได้บอกพี่ดู๋เลย เพราะอ้อนรู้สึกว่ากลัว อยากขอบคุณพี่ดู๋มากๆ ที่เลือกอ้อนวันนั้น พี่เลือกไม่ผิด แล้วอ้อนมีทุกอย่าง มีวันนี้ได้ ครอบครัว ลูกๆ หลานๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ มาจากการที่พี่ตัดสินใจเลือกอ้อนในวันนั้น ไม่รู้จะกราบขอบพระคุณและทดแทนบุญคุณพี่ยังไง ขอบคุณมากๆ

เพราะจุดนั้นหรือเปล่าที่ทำให้อ้อนพยายามเอาชนะคำดูถูก ฉันต้องทำให้ได้

เป็นไปได้ เพราะหลังจากเรื่องเจ้าพ่อจำเป็น เรื่องต่อไปเป็นละครที่คนทั่วประเทศไทยรู้จัก เกวลิน เลย คือบ้านสอยดาว

หลายคนบอกว่าอ้อนแต่งงานกับสามีรวย สามีเลี้ยงก็เลยหายไปจากวงการ

ไม่ใช่เลย บอกก่อนว่าอ้อนเป็นคนเชื่อเรื่องโชคชะตามาก เพราะเราเชื่อว่าความรักของพ่อกับแม่เป็นไอดอล พ่อกับแม่เล่าให้ฟังว่ากว่าที่จะรักกันได้ แกส่งจดหมายหากัน แล้วแม่ได้รับจดหมายจากพ่อถึง 5 ปี เต็มหีบเลยแต่ก็อยู่ด้วยกันได้แล้วความตายก็แยกทั้งคู่ออกจากกัน อ้อนเชื่อว่าถ้าของที่ใช่มันก็จะอยู่กับเรา แต่ถ้าของที่มันไม่ใช่ ต่อให้รักกันมากแค่ไหนมันก็ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นอ้อนเลยอยู่กับเขา เราเจอกันเป็นพี่ เป็นน้อง สวัสดีกัน แค่นี้ 5 ปี

เพราะมันเป็นรักต้องห้ามหรือเปล่า เขาว่าคู่ของคุณเป็นคู่ที่รักกันไม่ได้

ไม่ พอรักแล้วมันดันมีประเด็นนี้ สั่งห้ามว่าไม่ให้รักกัน แต่ก่อนหน้านี้อ้อนไม่เคยสปาร์คกับเขานะ คือรู้สึกเป็นพี่เป็นน้องจริงๆ จนกระทั่งมีโอกาสได้นั่งคุย ได้แลกไลน์ ประเด็นคืออ้อนอยากจะไปซื้อหนังสือ แล้วเขาชอบอ่านหนังสือ เขาแนะนำหนังสือให้อ้อนเล่มหนึ่ง อ้อนแค่อยากจะบอกว่า ไปซื้อถูกเล่ม ส่งให้พี่ดูนะ แค่นั้นเอง แล้วหลังจากนั้นเขาก็เริ่มคุยกินข้าวหรือยัง ทำอะไร แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากคุยกับเขา ทำไมรู้สึกดีจังเวลาได้คุยกับเขา

แล้วใครมาห้ามไม่ให้คุณรักกัน

ธุรกิจที่ทำมันมีกฎของผู้บริหารว่าห้ามรักกัน อ้อนว่าที่ไปที่มาของกฎนี่มันมาจากการที่คู่อื่นๆ ทำไว้ไม่ค่อยดี คู่อื่นๆทำให้รูปแบบธุรกิจมันเสียหาย แล้วมีการเสียผลประโยชน์ของธุรกิจเกิดขึ้น ก็เลยถูกสร้างกฎนี่ขึ้นมา ตอนนั้นก็แหกกฎ กลายเป็นคู่เดียว และคู่สุดท้ายของบริษัท ทุกวันนี้ก็ยังทำงานอยู่ที่บริษัทเดิม

เห็นว่ามีการลงโทษด้วย

ถ้าบอกนี่คือละครเรื่องหนึ่งเลยนะ ก็ห้ามคุย ห้ามเจอ ไม่งั้นจะถูกเก็บภาพไปฟ้อง ยิ่งกว่าสมัยตอนเป็นดาราอีก

แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าคบกัน

มีคนไปบอก คืออ้อนวางงานเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะเรารับผิดชอบ โตเป็นผู้ใหญ่พอรู้ว่าอะไรสำคัญ เรื่องความรัก และเรื่องครอบครัว เป็นเรื่องรองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอ้อนจะเจอเขาเดือนหนึ่งไม่เกิน 5 วัน แล้วจะเจอในเส้นทางที่เขาอยู่แถวนั้นพอดี พอเจอกันก็มีคนเก็บภาพไปบอกผู้บริหารใหญ่

แล้วบทลงโทษนั้นคือ?

ถูกแบนไม่ให้ขึ้นสอน ไม่ให้ขึ้นเป็นเทรนเนอร์บนเวที แล้วสื่อการให้ความรู้บนเวทีถูกถอดออกทั้งหมด พี่นิคมโดนไล่ให้ไปบวชเป็นพระ

ทำไมเราไม่ลาออกแล้วหางานใหม่

มันคือกฎ อ้อนยอมรับว่าทำผิดกฎ มันเป็นกฎที่เรารู้อยู่แล้ว แล้วเราเป็นผู้บริหาร เราไปทำแบบนั้นมันเป็นอะไรที่ไม่ดีอยู่แล้ว เรายอมรับผิด เราก็ชวนกันขึ้นตำแหน่งสร้างยอดขาย คือมันยากมาก ตำแหน่งที่อ้อนบอกมันสร้างวอลุ่มแบบดับเบิ้ลเลยกว่าจะได้อีกขั้น แต่อ้อนข้ามได้ถึงสองขั้นเลย แล้วไม่ใช่อ้อนคนเดียว เราช่วยกันพาทีมงานอ้อนขึ้นด้วย ก็เลยกลายเป็นไม่ได้มีอะไรเสีย คบกันมีแต่เรื่องดี องค์กรก็มีความรู้ขึ้น แล้วช่วยกันทำมาหากิน เขาก็เงียบไปปล่อยให้งานแต่งงานเกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันไม่มีใครไปได้ในงานแต่งของอ้อน

P. Wanutch

อัพเดททุกความบันเทิง ทั้งไทย ต่างประเทศ K-pop รีวิวหนัง เพลง คอนเสิร์ต พร้อมนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจและหลากหลาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button