ข่าวดาราบันเทิง

สรุปเนื้อเรื่อง ซีซั่น 1-4 ก่อนดู Stranger Things 5 เข้าฉาย Netflix วันนี้

สรุปเนื้อเรื่องภาคก่อน เช็กลิสต์ก่อนดู “Stranger Things 5” เตรียมตัวให้พร้อมก่อนโบกมือลาเมืองฮอว์กินส์ Netflix

Stranger Things 5 เข้าฉาย Netflix 27 พฤศจิกายน 2568 เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไป 10 ปีแล้ว ซีรีส์เรือธงที่สร้างบรรยากาศยุค 80s ได้ตราตรึงใจที่สุดในยุคสตรีมมิ่ง วันนี้กำลังเดินหน้าเข้าสู่บทสรุปสุดท้ายที่ชวนใจหายไม่น้อย

หลังจากทิ้งช่วงไปนานถึง 3 ปีครึ่ง ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง แต่ก่อนที่เราจะกระโจนกลับไปสู่เมืองฮอว์กินส์ ซึ่งตอนนี้ถูกทหารสั่งกักกันพื้นที่อย่างเข้มงวด เหล่าแก๊งเด็กโข่ง (ที่โตกันหมดแล้ว) ต้องรวมพลังกันด้วยเป้าหมายเดียวคือ “ตามล่าและฆ่า เวคนาด (Vecna)”

เพื่อให้คุณดูซีซั่นนี้ได้อรรถรสที่สุด ไทยเกอร์ ขออาสาพาไปสรุปเรื่องราวภาคก่อน จะได้ดูแล้วไม่งง

สรุปเนื้อเรื่อง Stranger Things ซีซั่น 1-4 (สปอยล์เต็มรูปแบบ)

ซีซั่น 1 (2016)

เดือนพฤศจิกายน 1983 ที่เมืองฮอว์กินส์ รัฐอินเดียนา วิล ไบเออร์ส เด็กชายวัย 12 ปี หายตัวไปอย่างลึกลับคืนหนึ่งระหว่างทางกลับบ้านหลังเล่นเกมกับเพื่อนๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาถูกสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่นจับตัวไป หลังจากนั้น ไมค์ วีลเลอร์ และเพื่อนซี้ของวิล (ดัสติน เฮนเดอร์สัน และลูคัส ซินแคลร์) ได้ร่วมกันออกตามหาเพื่อนของพวกเขา

ระหว่างการค้นหา ไมค์และเพื่อนๆ พบกับเด็กผู้หญิงลึกลับคนหนึ่งในป่าซึ่งมีผมเกรียนและท่าทางหวาดกลัว เด็กหญิงคนนี้มีรอยสักเลข 011 บนแขน พวกเขาพาเธอกลับมาซ่อนตัวที่บ้านไมค์และตั้งชื่อเล่นให้เธอว่า “แอล” (ย่อจากอีเลเว่น, Eleven) แอลมีพลังจิต-พลังเคลื่อนย้ายของ และดูเหมือนว่าเธอรู้เบาะแสเกี่ยวกับวิล

แอลหลบหนีออกมาจากห้องทดลองลับของรัฐบาล (Hawkins Lab) ที่ตั้งอยู่ในเมือง ซึ่งทำการทดลองเหนือธรรมชาติ และตอนนี้เจ้าหน้าที่ห้องทดลองนำโดย ดร. มาร์ติน เบรนเนอร์ กำลังตามล่าตัวเธออยู่

แอลเล่าให้กลุ่มเด็กๆ ฟังถึงการมีอยู่ของมิติคู่ขนานที่เรียกว่า “Upside Down” ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศมืดหม่นและมีสัตว์ประหลาดร้ายอาศัยอยู่ ตัวหนึ่งที่เล็ดรอดออกมาเรียกกันว่า เดโมกอร์กอน (Demogorgon) เดโมกอร์กอนมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่หัวเหมือนดอกไม้กลีบเป็นซี่ฟันแหลมคม มันเป็นตัวที่จับตัววิลไปอยู่ในโลก Upside Down และยังออกอาละวาดลักพาตัวคนอื่นในเมืองด้วย – บาร์บารา (บาร์บ) เพื่อนของแนนซี่ก็ถูกมันลากลงไปมิติอันโหดร้ายนั้นและเสียชีวิตที่นั่นเช่นกัน

จอยซ์ (แม่ของวิล) เชื่อว่าลูกชายยังไม่ตาย เธอเริ่มสื่อสารกับวิลผ่าน ไฟประดับคริสต์มาส ที่แขวนในบ้าน เมื่อต่อสายไฟให้กะพริบเป็นตัวอักษร วิลสามารถส่งสัญญาณตอบกลับมาจากโลก Upside Down ได้ว่าตนยังอยู่ที่นั่น จอยซ์จึงมั่นใจว่าวิลยังมีชีวิตอยู่

ขณะเดียวกัน หัวหน้าตำรวจ จิม ฮอปเปอร์ ก็สืบจนพบว่าห้องทดลองรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของวิล โดยรู้ว่าทางห้องทดลองเคยจับเด็กที่มีพลังจิตไปทดลอง (ซึ่งก็คือแอล) มีเหตุให้ “ประตูมิติ” ไปยังโลก Upside Down เปิดขึ้นในบริเวณห้องทดลองนั้น

กลุ่มเด็กๆ และวัยรุ่น (ไมค์ แอล ดัสติน ลูคัส ร่วมด้วยแนนซี่และโจนาธาน) วางแผนล่อเดโมกอร์กอนมาที่โรงเรียน ขณะเดียวกันฮอปเปอร์และจอยซ์บุกเข้าไปในห้องทดลองฮอว์กินส์และฝ่าเข้า ประตูมิติ นั้นเพื่อช่วยวิลออกมาจากโลก Upside Down ในที่สุดพวกเขาพบวิลและช่วยชีวิตเขาสำเร็จ ส่วนทางด้านโรงเรียน เดโมกอร์กอนปรากฏตัวขึ้นเล่นงานเด็กๆ แอลจึงใช้พลังจิตเฮือกสุดท้ายโจมตีเดโมกอร์กอนจนมันสลายกลายเป็นเถ้าธุลี พร้อมกับที่ตัวแอลเองก็หายวับไปอย่างลึกลับหลังการต่อสู้ครั้งนั้น

วิลได้รับการช่วยเหลือกลับมาได้แต่ก็พบว่าเขา “ไม่เหมือนเดิม” วิลมีอาการแปลกๆ เช่นเผลออาเจียนออกมาเป็นทากประหลาด ซึ่งบ่งบอกว่าโลก Upside Down ยังคงทิ้งบางสิ่งไว้ในตัวเขา และเพื่อนๆ ทุกคนต่างก็คิดถึงแอลที่เสียสละตัวเองและหายตัวไป

ซีซั่น 2 (2017)

หนึ่งปีให้หลัง เรื่องราวดำเนินต่อในช่วงปลายปี 1984 (ประมาณเทศกาลฮัลโลวีน) วิลกลับมาใช้ชีวิตตามปกติกับครอบครัว แต่ยังมี อาการทรมานจากเหตุการณ์ใน Upside Down เช่น เห็นภาพหลอนหรือเหมือนตกอยู่ในมิตินั้นเป็นพักๆ

เขาถูกนำตัวไปพบ Dr. Owens แพทย์คนใหม่ของห้องทดลองที่เข้ามาดูแลกรณีของวิลและพยายามช่วยรักษา ขณะเดียวกัน เมืองฮอว์กินส์ได้ต้อนรับเด็กใหม่ชื่อ แม็กซ์ เมย์ฟีลด์ ที่ย้ายมาอยู่กับพี่ชายวัยรุ่นขาโหดชื่อบิลลี่ แม็กซ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนๆ ของไมค์ (แม้ช่วงแรกจะมีความขัดแย้งเล็กน้อย) นอกจากนี้ จอยซ์ (แม่วิล) กำลังคบหากับแฟนใหม่ชื่อ บ๊อบ นิวบี้ ชายใจดีที่สนิทกับวิลและครอบครัว

หลังหายตัวไปในซีซั่นก่อน แอลยังไม่ตาย แท้จริงแล้วหลังจากที่เธอสู้กับเดโมกอร์กอน เธอติดอยู่ช่วงสั้นๆ ในโลก Upside Down แต่สามารถหนีกลับมายังโลกจริงได้อีกครั้ง แอลออกมาเจอกับฮอปเปอร์ และเขาได้ช่วยซ่อนตัวเธอไว้ที่กระท่อมกลางป่าอย่างลับๆ ในฐานะพ่อบุญธรรมชั่วคราวของเธอ เพื่อปกป้องแอลจากการตามล่าของรัฐบาล ฮอปเปอร์ตั้งกฎไม่ให้แอลออกไปไหนและพยายามเลี้ยงดูเธออย่างดีที่สุดในที่หลบซ่อนนั้น(ทั้งคู่มีความสัมพันธ์เหมือนพ่อ-ลูกที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ)

ไม่นานความผิดปกติก็เกิดขึ้นอีกครั้ง – พืชผลฟักทองทั่วเมืองพากันเน่าอย่างไร้สาเหตุ วิลเริ่มเห็นภาพหลอนเป็นเงามืดขนาดยักษ์คล้ายสัตว์ประหลาดแมงมุมอยู่ในโลก Upside Down ที่คืบคลานปกคลุมฮอว์กินส์ ต่อมาสิ่งมีชีวิตเงาปีศาจนี้ถูกเรียกชื่อว่า “Mind Flayer” ซึ่งมันมีสติปัญญาชั่วร้ายและต้องการครอบงำโลกของเรา

ในเวลานั้น ดัสติน บังเอิญเจอสัตว์ประหลาดตัวเล็กคล้ายลูกอ๊อดจาก Upside Down ในถังขยะ เขาแอบเลี้ยงมันไว้และตั้งชื่อว่า ดาร์ตาญัง (D’Artagnan) แต่เจ้าสิ่งนี้โตเร็วผิดปกติ กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายที่เด็กๆ เรียกว่า “เดโมด็อก” (Demodog – ลูกสมุนของเดโมกอร์กอน)

ส่วนวิลเองก็ไม่อาจหลีกหนี Mind Flayer ได้ ในที่สุดเขาถูกเจ้าเงาปีศาจนี้ เข้าสิงร่าง อย่างสมบูรณ์ กลายเป็นสื่อกลางให้มันแทรกมิติเข้ามาควบคุมฮอว์กินส์จากภายในจิตใจของเด็กชาย

เมื่อวิลถูกสิง เขาเริ่มแสดงพฤติกรรมและเสียงพูดที่ไม่ใช่ตัวเอง ครอบครัวและเพื่อนๆ ต้องช่วยกันหาวิธีขับไล่ Mind Flayer ออกจากร่างวิล พวกเขารู้ว่าปีศาจตัวนี้มี “ฮิฟ์ไมน์” (hive mind) หรือจิตรวมร่วมกัน ถ้าทำลายส่วนหนึ่ง ส่วนอื่นๆ ที่อยู่ในการควบคุมก็จะได้รับผลด้วย

กลุ่มผู้ใหญ่ (จอยซ์ ฮอปเปอร์ และบ๊อบ) พยายามค้นหาเบาะแสจากภาพวาดแปลกๆ ที่วิลวาดออกมา กระทั่งพบว่าใต้ดินเมืองฮอว์กินส์มีเครือข่ายเถาวัลย์และโพรงอุโมงค์จาก Upside Down แผ่ขยายอยู่ทั่วเมือง ขณะเดียวกัน แนนซี่กับโจนาธานร่วมมือกับนักข่าวชื่อเมอร์เรย์ เปิดโปงความผิดพลาดของห้องทดลองฮอว์กินส์กรณีการตายของบาร์บารา จนรัฐบาลต้องยอมปิดศูนย์ทดลองนั้นลงในที่สุด

สถานการณ์ทวีความโกลาหลเมื่อฝูง “เดโมด็อก” จำนวนมากบุกโจมตีห้องทดลองฮอว์กินส์! บ๊อบ นิวบี้ แฟนของจอยซ์ถูกเดโมด็อกทำร้ายจนเสียชีวิต ขณะช่วยเหลือทุกคนหนีออกมา

หลังความสูญเสีย แอลตัดสินใจกลับมาช่วยเพื่อนๆ อีกครั้ง เธอได้เรียนรู้เรื่องราวอดีตของตัวเอง (รวมถึงได้พบ “แปด” หรือ Kali เพื่อนเด็กทดลองอีกคน) ตระหนักว่าบ้านที่แท้จริงของเธอคือกับฮอปเปอร์และเพื่อนๆ ที่ฮอว์กินส์ ในฉากสุดท้าย แอลและฮอปเปอร์ลงไปที่ใต้ดินห้องทดลอง ซึ่งมี “ประตูมิติหลัก”(Mothergate) ขนาดใหญ่เชื่อมโลกกับ Upside Down เปิดค้างอยู่ แอลใช้พลังจิตอันมหาศาลของเธอ ปิดประตูมิตินั้นจนสำเร็จ ตัดการเชื่อมต่อระหว่าง Mind Flayer กับโลกของเราอย่างฉับพลัน ส่งผลให้เหล่าเดโมด็อกล้มตายทันที และ Mind Flayer ที่สิงร่างวิลถูกขับออกไป วิลก็ปลอดภัยเป็นปกติอีกครั้ง

เหตุการณ์คลี่คลาย ฮอว์กินส์กลับสู่ความสงบ (ท้ายซีซั่น มีฉากงานเต้นรำ Snow Ball ที่เด็กๆ ได้ใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างมีความสุขชั่วขณะ)แต่ในวินาทีสุดท้าย ผู้ชมจะเห็นว่าในโลก Upside Down เงาร่างของ Mind Flayer ยังคงล่องลอยอยู่เหนือโรงเรียนมัธยมฮอว์กินส์อย่างมืดมิด แสดงว่าสิ่งชั่วร้ายยังไม่จบสิ้นและเฝ้ามองพวกเขาจากอีกมิติหนึ่งอยู่เสมอ

(หมายเหตุ: ตอนจบซีซั่น 2 ฮอปเปอร์ได้รับเอกสารปลอมจาก Dr. Owens เพื่อยืนยันสถานะ “ลูกสาว” ของแอล ในชื่อใหม่ว่า “เจน ฮอปเปอร์” ทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตอย่างเด็กปกติได้ โดยไม่มีหน่วยงานรัฐตามหา)

ซีซั่น 3 (2019)

เรื่องราวดำเนินต่อในช่วงฤดูร้อนปี 1985 เมืองฮอว์กินส์มี “สตาร์คอร์ทมอลล์” (Starcourt Mall) ห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่เป็นสถานที่ยอดนิยมของวัยรุ่น ทำให้ธุรกิจท้องถิ่นซบเซา กลุ่มเด็กๆ ตอนนี้เติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่นตอนต้น ไมค์กับแอลกำลังคบกันแบบแฟน, คู่ลูคัสกับแม็กซ์ก็สนิทสนมกัน ส่วนดัสตินไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ช่วงปิดเทอมและกลับมาพร้อมเรื่องเล่าว่าเขามีแฟนที่พบกันในค่ายชื่อซูซี่ นอกจากนี้ สตีฟ (อดีตแฟนแนนซี่) ทำงานพิเศษที่ร้านไอศกรีมในห้างกับเพื่อนใหม่ชื่อ โรบิน และน้องสาวของลูคัสคือ เอริกา ก็มาช่วยสร้างสีสันในเรื่องด้วย

แม้ดูผิวเผินจะสงบสุข แต่เบื้องหลัง ฮอว์กินส์กลายเป็นเป้าหมายของนักวิทยาศาสตร์จากสหภาพโซเวียต (ยุคสงครามเย็น) ที่ลอบสร้างฐานทดลองใต้ดินอยู่ใต้ห้างสตาร์คอร์ทมอลล์ เป้าหมายของพวกเขาคือ พยายามเปิดประตูมิติไปยัง Upside Down อีกครั้ง เพื่อวิจัยและควบคุมพลังงานเหนือธรรมชาตินั้น (รัฐบาลโซเวียตต้องการใช้มิตินี้ในเชิงอาวุธ)

ทีมโซเวียตสามารถแง้มประตูมิติที่ถูกปิดไปเมื่อปีก่อนให้เปิดขึ้นมาได้นิดหนึ่ง และนั่นทำให้ พลังบางอย่างของ Mind Flayer ที่ติดค้างในโลกเราได้รับการปลดปล่อยออกมาอีกครั้งเป็นเงาควันสีดำลึกลับ

ปีศาจกลับมา: “Mind Flayer” ในร่างใหม่: เงาพลังของ Mind Flayer ที่หลุดออกมานั้นเริ่มต้นเข้า ยึดร่างสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เช่น หนูตามโรงงานร้าง บังคับให้พวกมันกินสารเคมีจนร่างระเบิดเหลวกลายเป็นเนื้อเยื่อประหลาดรวมกัน

จากนั้น Mind Flayer ก็ขยายอำนาจมาที่มนุษย์ โดยเป้าหมายแรกคือ บิลลี่ ฮาร์โกรฟ พี่ชายของแม็กซ์ (ที่มีนิสัยเกเรอยู่แล้ว) – บิลลี่ถูกร่างอวตารของ Mind Flayer เล่นงานและกลายเป็น “ผู้ถูกพล่า (Flayed)” ถูกควบคุมจิตใจให้ทำตามคำสั่งปีศาจ บิลลี่เริ่มลักพาตัวชาวเมืองหลายคน (รวมถึงเพื่อนสาวผู้ช่วยชีวิตเขาชื่อเฮเธอร์) มาสังเวยให้ Mind Flayer

สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นถูกหลอมร่างกลายเป็นก้อนเนื้อรวมกับหนูที่รวบรวมไว้ สุดท้ายก่อเกิดเป็นร่างกายใหม่ของ Mind Flayer ในโลกจริง ลักษณะเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์น่าสยดสยองคล้ายแมงมุมเนื้อขนาดใหญ่!

เหตุการณ์ประหลาดทำให้กลุ่มเพื่อนต้องแยกกันสืบคนละทาง ดัสติน จับสัญญาณวิทยุลับและขอความช่วยเหลือจากสตีฟ, โรบิน และเอริกา ช่วยกันถอดรหัสจนพบว่ามี ฐานลับโซเวียตใต้ห้างสตาร์คอร์ท ทั้งสี่คนจึงแอบลุยลงลิฟต์ใต้ดินไปจนเจอห้องทดลอง (แต่ถูกจับได้และต้องหาทางหนีเอาตัวรอด) ขณะเดียวกัน แอล, ไมค์, แม็กซ์ และลูคัส เริ่มสังเกตว่าบิลลี่มีท่าทางแปลกไปและน่าจะเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ

พวกเขาสืบจนพบว่ามีคนหลายคนในเมืองโดน Mind Flayer เข้าควบคุม (เรียกรวมๆ ว่า “The Flayed”) และปีศาจร้ายกำลังสร้างร่างกายใหม่เพื่อออกไล่ล่า แอล โดยเฉพาะ (เพราะเธอเป็นผู้ปิดประตูมิติมันในครั้งก่อน)

ส่วนฝั่งผู้ใหญ่ จอยซ์ รู้สึกผิดปกติกับเหตุแม่เหล็กข้าวของในบ้านเธอหมดแรงดูดพร้อมๆ กัน จึงไปขอให้ ฮอปเปอร์ ช่วยสืบสวน จนทั้งสองพบโกดังลับที่มีคนรัสเซียใช้เป็นสถานีทดลอง ฮอปเปอร์กับจอยซ์จับตัววิศวกรรัสเซียชื่อ อเล็กซีมา และได้รับความช่วยเหลือจาก เมอร์เรย์ (นักข่าวสายทฤษฎีสมคบคิด) เพื่อแปลภาษารัสเซีย จนล่วงรู้แผนการทั้งหมดของศัตรู

เนื้อเรื่องทุกสายมาบรรจบกันในตอนท้ายที่ ห้างสตาร์คอร์ท กลุ่มเด็กๆ กับกลุ่มผู้ใหญ่กลับมารวมตัวและแบ่งหน้าที่หยุดยั้งภัยครั้งนี้ ฮอปเปอร์, จอยซ์ และเมอร์เรย์ บุกเข้าไปในฐานลับใต้ดินเพื่อปิดเครื่องจักรเลเซอร์ของโซเวียตที่กำลังฝืนเปิดประตูมิติ (ซึ่งมีทหารรัสเซียคุ้มกันแน่นหนา)

ส่วน แอลและเด็กๆ ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด Mind Flayer ร่างเนื้อที่บุกมาถึงในห้าง หลังการต่อสู้อันดุเดือด แอลถูกเล่นงานได้รับบาดเจ็บที่ขา และพบว่าเศษสารจากตัว Mind Flayer เข้าฝังในแผลเธอทำให้พลังจิตของเธอเริ่มใช้งานไม่ได้ แต่ในนาทีคับขัน บิลลี่ ซึ่งถูก Mind Flayer ควบคุมอยู่ เกิดได้ยินคำพูดสะกิดใจจากแอลที่บอกถึงความทรงจำดีๆ ของเขากับแม่ ส่งผลให้บิลลี่ฮึดสู้แหกการควบคุมออกมาได้ชั่วขณะ บิลลี่จึง สละชีวิตตัวเอง เข้าขวางโจมตีใส่สัตว์ประหลาดเพื่อปกป้องแอล จนเขาถูกปีศาจฆ่าตายต่อหน้าต่อตาแม็กซ์ น้องสาวของเขา (เป็นฉากที่สะเทือนใจมากสำหรับทุกคน)

ส่วนทางด้านใต้ดิน จอยซ์กับฮอปเปอร์สามารถปลิดชีพนายพลรัสเซียคนร้ายและเข้าถึงห้องเครื่องได้ แต่ฮอปเปอร์เกิดติดอยู่ใกล้เครื่องจักรที่กำลังทำงาน หากปิดเครื่องตอนนี้คนใกล้ๆ จะไม่ปลอดภัย ฮอปเปอร์จึงส่งสัญญาณให้จอยซ์ตัดสินใจกดปิดเครื่อง ในที่สุดจอยซ์หมุนกุญแจปิดเครื่องกำเนิดพลังงานได้สำเร็จ

เครื่องจักรเกิดระเบิดทำลายประตูมิติ และส่งผลให้ร่างสัตว์ประหลาด Mind Flayer ที่กำลังต่อสู้บนห้างด้านบน ล้มตายลงทันที เพราะขาดการเชื่อมต่อกับมิติแม่ ในเหตุการณ์นี้ทุกคนรอดชีวิตมายืนมองซากศพสัตว์ประหลาดยักษ์กลางห้างที่พังยับเยิน ยกเว้นฮอปเปอร์ เขาหายตัวไปหลังเครื่องระเบิด ไม่มีใครพบร่างเขาและคาดว่าเขาน่าจะเสียชีวิตไปแล้วจากแรงระเบิดนั้น

บทส่งท้ายซีซั่น 3: หลังภัยพิบัติที่สตาร์คอร์ท รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาเก็บกวาดและปิดข่าวเรื่องรัสเซีย ฮีโร่ตัวน้อยของเรากลายเป็นผู้รอดชีวิตจาก “เหตุไฟไหม้ห้าง” ตามข่าวที่ถูกปล่อยออกไป ความสูญเสียครั้งนี้ทำให้ จอยซ์ตัดสินใจย้ายครอบครัวออกจากฮอว์กินส์ เพื่อเริ่มต้นใหม่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า

เธอพาวิล, โจนาธาน รวมทั้งรับแอล (ที่กลายเป็นเด็กกำพร้าเมื่อฮอปเปอร์หายไป) ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนไมค์, ดัสติน, ลูคัส และเพื่อนๆ ที่เหลือก็ต้องกล่าวคำอำลากับวิลและแอลอย่างเศร้าสร้อย ขณะเก็บของ แอลพบจดหมายที่ฮอปเปอร์เขียนถึงเธอก่อนตาย ใจความว่าฮอปเปอร์รักเธอเหมือนลูกและอยากให้เธอเติบโตมีชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุข 🥺 (จบซีซั่นด้วยความประทับใจ)

ย่างไรก็ตาม ในฉากท้ายเครดิต มีการเปิดเผยว่าที่ฐานคุกแห่งหนึ่งในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ทหารรัสเซียกำลังขังใครบางคนที่ถูกเรียกว่า “อเมริกัน” อยู่ และที่น่าตกใจคือพวกเขายังมี เดโมกอร์กอน ถูกจับมาเลี้ยงไว้อีกตัวหนึ่งด้วย! ภาพนั้นทำให้ผู้ชมเริ่มสงสัยว่าฮอปเปอร์อาจจะยังไม่ตาย และกลายเป็นนักโทษลับของรัสเซียอยู่ก็เป็นได้

ซีซั่น 4 (2022)

เรื่องราวซีซั่นนี้เกิดขึ้นช่วงมีนาคม 1986 (เวลาผ่านไปประมาณ 8 เดือนหลังเหตุการณ์ที่ห้าง) กลุ่มตัวละครหลักของเราถูกแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่

ฝั่งแคลิฟอร์เนีย จอยซ์พาครอบครัวบายเออร์ส (โจนาธาน วิล) และแอล มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองเลโนรา ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย แอลพยายามใช้ชีวิตเป็นเด็กสาวธรรมดาในชื่อ “เจน” แต่เธอยังทำใจเรื่องการสูญเสียพ่อบุญธรรม (ฮอปเปอร์) ไม่ได้ แถมตอนนี้เธอไม่มีพลังพิเศษแล้ว ทำให้กลายเป็นเหยื่อถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน วิลเองก็มีท่าทีซึมๆ เก็บตัว โจนาธานติดเพื่อนใหม่ที่ชื่ออาร์ไกล์และดูไม่ค่อยสนใจเรื่องอนาคตตัวเอง จอยซ์ได้รับพัสดุปริศนาส่งมาจากรัสเซีย เป็นตุ๊กตาไม้ที่ภายในซ่อนข้อความบอกใบ้ว่า

ฮอปเปอร์ยังมีชีวิตอยู่ และถูกขังอยู่ที่คุกในคามชัตกาไซบีเรีย จอยซ์จึงชวนเมอร์เรย์บินไปอลาสก้าเพื่อตามหาร่องรอยฮอปเปอร์ทันที ด้านไมค์ วีลเลอร์บินจากฮอว์กินส์มาเยี่ยมแอลกับวิลช่วงปิดเทอม แต่สถานการณ์กลับเลวร้าย: แอลถูกแก๊งเด็กนิสัยไม่ดีนำโดยสาวชื่อแองเจล่ารุมแกล้งจนเธอพลั้งทำร้ายคู่กรณีเข้าที่หน้าอย่างแรงกลางลานสเก็ต ทำให้เรื่องถึงตำรวจ แอลเกือบต้องขึ้นศาลเยาวชนแต่โชคดีที่ ดร.โอเวนส์ (จากซีซั่น 2) ปรากฏตัวมาช่วยเธอ เขาชี้แจงว่า กำลังเกิดเหตุร้ายแรงที่ฮอว์กินส์ และชักชวนแอลไปร่วมโครงการลับเพื่อช่วยกู้สถานการณ์ นั่นคือการพาแอลไปยังสถานที่ทดลองใต้ดินชื่อโครงการ “NINA” (นีน่า) เพื่อช่วยให้เธอ คืนพลังพิเศษกลับมา อีกครั้ง

คดีสยองในฮอว์กินส์: ฝั่งฮอว์กินส์: หลังครอบครัวบายเออร์สย้ายออก เมืองฮอว์กินส์เงียบเหงาและยังคงฟื้นตัวจาก “เหตุแผ่นดินไหวไฟไหม้” ที่ห้างในข่าว ปัจจุบันกลุ่มเด็กๆ ที่เหลือกำลังเรียนชั้นมัธยมปลายปีแรกและต่างปรับตัวไปตามเส้นทางของตน ลูคัสเข้าชมรมบาสเกตบอลของโรงเรียนเพื่ออยากเป็นเด็กป็อปปูลาร์, ดัสตินกับไมค์ยังเป็นเด็กเนิร์ดเล่นเกม D&D ในชมรม “เฮลล์ไฟร์คลับ” นำโดยรุ่นพี่ติสต์แตกชื่อ เอ็ดดี้ มันสัน, ส่วนแม็กซ์มีสภาพจิตใจย่ำแย่จากการตายของพี่ชาย

เธอกลายเป็นเด็กเก็บตัวซึมเศร้าและถอยห่างจากเพื่อนๆ (แถมรู้สึกผิดที่วันนั้นช่วยพี่ไม่ได้) เหตุการณ์ประหลาดเริ่มขึ้นเมื่อ คริสซี่ เชียร์ลีดเดอร์สาวเกิดเห็นภาพหลอนน่ากลัวและได้ยินเสียงแปลกๆ ในหัว ก่อนที่เธอจะถูกพลังลึกลับฆ่าอย่างสยดสยองในบ้านพักของเอ็ดดี้ – ร่างของคริสซี่ลอยขึ้นก่อนแขนขาหักบิดและดวงตาถูกควักออก!

เอ็ดดี้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมนี้และหนีเตลิด กลุ่มเด็กๆ (ดัสติน, แม็กซ์, ลูคัส, สตีฟ, แนนซี่, โรบิน ฯลฯ) เชื่อว่า ต้องเป็นฝีมือสิ่งเหนือธรรมชาติจาก Upside Down แน่นอน ดัสตินตั้งชื่ออสูรร้ายตนใหม่นี้ตามตัวร้ายในเกม D&D ว่า “เว็กนา” (Vecna) ซึ่งเป็นพ่อมดอันเดธทรงพลังที่ชอบคร่าชีวิตเด็กๆ พวกเขาจึงเริ่มสืบหาความจริงเบื้องหลังเว็กนาไปพร้อมกับการช่วยกันปกป้องเอ็ดดี้ที่มาหลบซ่อนตัวอยู่กับพวกเขา

เว็กนาเริ่มออกอาละวาดสังหารเหยื่อวัยรุ่นในฮอว์กินส์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหยื่อทุกรายล้วนมี ปมทุกข์ทรมานใจหรือความรู้สึกผิด ที่เว็กนาใช้เป็นช่องทางแทรกเข้าจิตใจให้เห็นภาพหลอนหลอกหลอนจนจิตอ่อนแอ จากนั้นจึงลงมือสังหารเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมเช่นเดียวกับคริสซี่ และทุกครั้งที่มันฆ่าใคร จะเกิด รอยแยกของมิติ ปรากฏขึ้น ณ จุดที่เหยื่อตาย เป็นเหมือน “Gate” ช่องเล็กๆ เชื่อม Upside Down กับโลกจริง (เว็กนาเปิดประตูทีละแห่งด้วยการสังเวยเหยื่อ)

เหยื่อรายถัดมาคือเฟร็ด (นักข่าวรุ่นเยาว์ที่ร่วมสืบกับแนนซี่) ตามด้วยแพทริค (เพื่อนร่วมทีมบาสของลูคัส) แม็กซ์เองก็เกือบตกเป็นเหยื่อรายที่สี่ของเว็กนา – เธอถูกเว็กนาเข้าสิงจิตและเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่เพื่อนๆ ค้นพบวิธีช่วยจากข้อมูลของ วิคเตอร์ ครีล (ชายชราที่ครอบครัวถูกฆาตกรรมปริศนาในยุค 50 และเขารอดมาได้) ซึ่งโรบินกับแนนซี่ไปสืบมา

วิคเตอร์รอดจากปีศาจได้เพราะเสียงเพลงโปรดที่เปิดอยู่ การฟังเพลงทำให้เขาหลุดจากสภาวะสะกดจิตของปีศาจได้ทันเวลา กลุ่มเด็กๆ จึงช่วยชีวิตแม็กซ์ด้วยการเปิดเพลงโปรด (“Running Up That Hill”) ให้เธอฟังจนหลุดจากบ่วงเว็กนาแบบหวุดหวิด เป็นฉากสุดระทึกที่แม็กซ์ลอยกลางอากาศแล้วร่วงลงมาอย่างปลอดภัยพร้อมเสียงเพลงดังลั่น

ทีมฮอว์กินส์แบ่งการทำงานกันอีกครั้ง สตีฟ, น้องเอ็ดดี้, แนนซี่ และโรบินสืบจนพบ “ประตูน้ำ” (Watergate) คือรอยแยกใต้น้ำกลางทะเลสาบที่แพทริคถูกฆ่า ทั้งสี่จึงดำน้ำลงไปทะลุมิติเข้าไปยังโลก Upside Down และพบว่ามิตินี้คือภาพจำลองเมืองฮอว์กินส์ในวันที่วิลหายตัว (ปี 1983) พวกเขาสันนิษฐานว่าเวลาในโลกกลับด้านหยุดนิ่งอยู่ที่ช่วงนั้น กลุ่มของสตีฟต่อสู้กับฝูงค้างคาวปีศาจ (เดโมแบท) ใน Upside Down เกือบไม่รอด แต่ก็เอาตัวรอดมาได้

ทั้งสี่พยายามติดต่อกับเพื่อนในโลกจริง และพบว่าสามารถสื่อสารกันผ่านไฟ (พวกดัสตินกับลูคัสรับข้อความผ่านไฟประดับที่บ้านเวิร์ล) ก่อนจะช่วยกันพาทั้งสี่คนกลับออกมาทางประตูที่บ้านครีลในโลก Upside Down ยกเว้นแนนซี่ ที่ติดอยู่เพราะถูกเว็กนาเล่นงานสิงจิตเธอในนาทีสุดท้าย

ในห้วงจิตของแนนซี่ เว็กนาไม่ได้ฆ่าเธอทันที แต่มันกลับ เผยภาพนิมิตบางอย่าง ให้เธอเห็น: แนนซี่ได้เห็นเบื้องหลังเรื่องราวของวิคเตอร์ ครีลที่แท้จริง – คนที่ฆ่าครอบครัวครีลในปี 1959 ไม่ใช่ปีศาจที่ไหน แต่เป็น ลูกชายคนโตของบ้านนั้น “เฮนรี่ ครีล” ที่มีพลังจิตชั่วร้าย เขาฆ่าคนในครอบครัวตัวเองและทำให้พ่อของเขา (วิคเตอร์) ต้องกลายเป็นแพะรับบาปติดคุก

เว็กนาให้แนนซี่เห็นต่อว่าเฮนรี่เติบโตมาเป็น เด็กทดลองหมายเลข 001 ในโครงการของดร.เบรนเนอร์ และสุดท้ายได้กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตน่าเกลียดน่ากลัวที่อาศัยอยู่ใน Upside Down นั่นเอง (เป็นการเฉลยว่าที่แท้ เว็กนา = เฮนรี่ ครีล = “หนึ่ง” นั่นเอง) เว็กนาเผยแผนการของมันผ่านแนนซี่ว่า มันต้องการเปิด “ประตูมิติ” สี่จุดมาบรรจบกันเพื่อฉีกโลกใบนี้ให้เปิดอ้าเข้าสู่ความมืดของ Upside Down และวันนั้นก็กำลังใกล้เข้ามา

ย้อนมาดูทาง ฝั่งรัสเซีย หลังหนีรอดจากระเบิดที่สตาร์คอร์ท จิม ฮอปเปอร์ ถูกทหารโซเวียตจับตัวได้ในป่าชายแดน เขาถูกนำตัวไปขังในคุก คามชัตกา ที่หนาวเหน็บทารุณ ฮอปเปอร์พยายามแหกคุกหลายครั้งและต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการถูกบังคับให้ต่อสู้กับ เดโมกอร์กอน ที่ทหารยึดมาได้ (พวกทหารให้ผู้ต้องขังสู้กับสัตว์ประหลาดเป็นเกมสนุก)

ด้านจอยซ์กับเมอร์เรย์เดินทางข้ามโลกมาถึงอลาสก้าและนัดพบกับ ยูริ คนลักลอบขนของผิดกฎหมายให้รัสเซีย โดยยูริจะช่วยพาพวกเขาบินไปคามชัตกาเพื่อไถ่ตัวฮอปเปอร์ แต่ปรากฏว่ายูริหักหลังวางยาจับตัวจอยซ์และเมอร์เรย์ส่งให้ KGB ซะเอง (เพราะหวังเงินรางวัล) อย่างไรก็ดี เมอร์เรย์พลิกสถานการณ์จัดการยูริจนทั้งสามเครื่องบินตกที่ไซบีเรีย พวกเขาบังคับให้ยูริช่วยแทรกซึมเข้าเรือนจำจนได้พบฮอปเปอร์ในที่สุด

ขณะเดียวกันฮอปเปอร์กับเพื่อนผู้คุมชื่อดมิทรีกำลังร่วมมือกันหนีออกอยู่พอดี สุดท้ายจอยซ์กับเมอร์เรย์บุกถล่มคุกจากภายนอก ในขณะที่ฮอปเปอร์และดมิทรีสู้กับเดโมกอร์กอนด้านใน สองฝ่ายรวมพลังกันจน ช่วยเหลือฮอปเปอร์ออกมาได้สำเร็จ และทำลายห้องทดลองในคุกที่พบว่าทหารโซเวียตกักเก็บ “ชิ้นส่วนควันที่มีชีวิต” ของ Mind Flayer และเหล่าสัตว์ทดลองจาก Upside Down ไว้หลายตัว (รวมทั้งเดโมกอร์กอนและเดโมด็อก) พวกเขาฆ่าสิ่งเหล่านั้นทิ้งเพื่อไม่ให้เหลือภัยคุกคาม จากนั้นทั้งหมด (ฮอปเปอร์ จอยซ์ เมอร์เรย์ ดมิทรี ยูริ) ก็หาทางเดินทางกลับสหรัฐฯ

ทางด้าน แอล ที่ยอมร่วมโครงการนีน่า เธอถูกพาตัวไปยังฐานลับใต้ดินในทะเลทรายเนวาดาอย่างลับๆ โดยมี ดร.เบรนเนอร์ (“พ่อ” ของเธอที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว) เป็นคนดูแลโครงการนี้ร่วมกับดร.โอเวนส์ แอลถูกนำตัวเข้า แท็งก์น้ำเกลือ เพื่อกระตุ้นความทรงจำในวัยเด็กช่วงที่อยู่ในห้องทดลองฮอว์กินส์ การฝึกสุดโหดในนั้นทำให้แอลได้ค่อยๆ ฟื้นความทรงจำและพลังของตัวเองทีละน้อย เธอจำได้ถึงเหตุการณ์หนึ่งในปี 1979 ที่เด็กทดลองทุกคนในห้องทดลองถูกสังหารหมู่

เลือดท่วมไปทั้งห้องโถง และตอนแรกเธอเข้าใจว่าตัวเองอาจเป็นคนทำเรื่องนั้น แต่ความจริงปรากฏเมื่อแอลได้คุยกับเจ้าหน้าที่หนุ่มในห้องทดลองคนหนึ่งที่เคยใจดีกับเธอ

เจ้าหน้าที่คนนั้นแท้จริงคือ เฮนรี่ ครีล (หนึ่ง) ที่แฝงตัวอยู่! เบรนเนอร์ได้ฝังชิปควบคุมพลังไว้ในตัวเฮนรี่เพราะคุมเขาไม่อยู่ เฮนรี่/หนึ่ง หลอกใช้แอลให้ช่วยดึงแท่งชิปนั้นออกจากคอเขา พอเป็นอิสระ เขาจึงเผยธาตุแท้ออกมา ไล่สังหารเด็กทดลองคนอื่นๆ และเจ้าหน้าที่ในห้องทดลองจนหมด แอลตกใจมากเกิดการต่อสู้กัน

เธอต้านพลังของหนึ่งสุดชีวิตจนในที่สุดก็ระเบิดพลังครั้งใหญ่ใส่เขา ส่งผลให้ร่างของหนึ่งถูกฉีกกรีดข้ามมิติเปิดประตูสู่อีกโลก หนึ่งกระเด็นเข้าไปติดอยู่ในโลก Upside Down และร่างกายบิดเบี้ยวกลายเป็นอสูรร้ายแห่งโลกนั้น เขากลายเป็น “เว็กนา” ตั้งแต่นั้นมา (กล่าวคือเว็กนาคือเฮนรี่ที่แอลเป็นคนส่งไปอยู่ในโลกนั้นเอง)

แอลจึงค้นพบต้นตอของฝันร้ายทั้งหมดและรู้สึกผิดที่ตนมีส่วนสร้างปีศาจตนนี้ขึ้นมา แต่เธอก็ได้พลังของตัวเองกลับคืนมาสมบูรณ์ในกระบวนการนี้

มื่อฟื้นพลังได้ แอลรู้ว่าเพื่อนๆ ที่ฮอว์กินส์กำลังจะเผชิญหน้ากับเว็กนา ด้านไมค์ วิล โจนาธาน และอาร์ไกล์ที่ขับรถหนีการตามล่าของกองทัพ (ซึ่งเข้าใจผิดว่าแอลเป็นตัวการทำให้ฮอว์กินส์มีปีศาจ) พวกเขาตามหาแอลจนพบ ทั้งหมดช่วยกันสร้าง อุปกรณ์ให้แอลใช้พลังเจาะเข้าไปในจิตของแม็กซ์จากระยะไกล (หรือ “piggyback”) โดยใช้อ่างน้ำเกลือชั่วคราวในร้านพิซซ่าของอาร์ไกล์

แผนการคือให้แอลเข้าสู่จิตแม็กซ์เพื่อดวลกับเว็กนา ในขณะที่กลุ่มเพื่อนที่เหลือในฮอว์กินส์จะบุกเข้า Upside Down ไปทำลายร่างจริงของเว็กนา เมื่อทุกอย่างพร้อม กลุ่มฮอว์กินส์ แบ่งเป็นทีม: แนนซี่, สตีฟ, โรบิน กลับลงไปยัง Upside Down ผ่านประตูที่บ้านครีล เพื่อบุกเผชิญหน้าและทำลายร่างเว็กนาในเวลาที่มันกำลังสิงจิตผู้อื่น (จะอ่อนแอที่สุด) ส่วนเอ็ดดี้กับดัสตินคอยเป็นทีมล่อเบี่ยงเบนความสนใจ

เอ็ดดี้โชว์เด่นด้วยการเล่นกีตาร์เพลงร็อคกระหึ่มล่อฝูงค้างคาวปีศาจทั้งมวลให้ไปไล่ล่าเขา (ฉากนี้เท่มาก) ฝั่งโลกจริง ลูคัสกับเอริก้าอยู่คอยดูแลแม็กซ์ที่บ้านครีลร้าง ซึ่งแม็กซ์กล้าใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้เว็กนาเข้าสิงอีกครั้งเพื่อเปิดช่องให้แอลโจมตี

ศึกครั้งนี้ดุเดือดและแลกมาด้วยความสูญเสีย เอ็ดดี้ต่อสู้กับฝูงเดโมแบทจนตัวเองบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในอ้อมแขนของดัสติน (เอ็ดดี้ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อถ่วงเวลาให้ภารกิจสำเร็จ)

ที่บ้านครีล ลูคัสโดนเจสัน (หัวโจกทีมบาสที่เข้าใจผิดคิดว่าพวกเอ็ดดี้บูชาซาตานทำให้แฟนเขาตาย) เล่นงานจนสลบไปช่วงหนึ่ง ทำให้แม็กซ์ซึ่งถูกเว็กนาสิงอยู่ ไม่มีใครปลุกได้ทันเวลา – แม็กซ์ถูกเว็กนาเล่นงานร่างกายอย่างโหดร้ายต่อหน้าแอลที่อยู่ในจิต (แขนขาหัก บอดตาทั้งสองข้าง) แล้วหัวใจของเธอก็หยุดเต้นลง

แม็กซ์ ตายลงชั่วขณะหนึ่ง ทำให้แผนการชั่วร้ายของเว็กนาสำเร็จ – ประตูมิติทั้งสี่จุดที่มันเปิดไว้ทะลุถึงกันใต้เมืองฮอว์กินส์ เกิดเป็นรอยแยกมหึมาแผ่ออกทั่วเมืองเหมือนแผ่นดินแยก ผู้คนเสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ด้านแนนซี่ โรบิน สตีฟ สามารถใช้ปืนยิงและระดมขว้างระเบิดโมโลตอฟใส่ร่างเว็กนาใน Upside Down สำเร็จ ร่างมันถูกยิงทะลุเป็นรูไฟลุกท่วมแล้วตกจากหน้าต่างบ้าน แต่เมื่อลงไปดูกลับไม่พบร่าง (เว็กนายังไม่ตาย)

ส่วนแอลซึ่งอยู่ในจิตแม็กซ์ เธอไม่ยอมสูญเสียเพื่อนรัก แอลกรีดร้องทั้งน้ำตาใช้พลังบางอย่างช็อกหัวใจให้แม็กซ์ฟื้นขึ้นมาเต้นอีกครั้ง แม็กซ์จึง ฟื้นคืนชีพได้หวุดหวิด แต่ก็มีอาการสมองตาย กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ได้สติอีกเลย

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ฮอปเปอร์, จอยซ์, เมอร์เรย์ (ที่หนีออกจากคุกคามชัตกาพร้อมเฮลิคอปเตอร์ของยูริ) ก็ช่วยกันเข้าทำลายเศษซากสัตว์ทดลองในคุกที่ยังเหลืออยู่พร้อมๆ กัน (เพื่อช่วยถ่วงพลังของเว็กนาอีกแรงหนึ่ง) แล้วทั้งหมดจึงรีบเดินทางกลับสหรัฐฯ

บทสรุปซีซั่น 4: สองวันหลัง “เหตุแผ่นดินไหว” (ข้ออ้างที่รัฐบาลใช้กลบเกลื่อนเรื่องประตูมิติ) เมืองฮอว์กินส์พังพินาศและผู้คนอพยพออกเป็นจำนวนมาก กลุ่มฮีโร่ของเราที่ยังรอดกลับมารวมตัวกันพร้อมหน้าอีกครั้ง จอยซ์พาฮอปเปอร์ (ที่รอดชีวิต) กลับมาหาลูกๆ สร้างความยินดีแก่ทุกคน ฮอปเปอร์และแอลได้กอดกันอีกครั้งอย่างซาบซึ้งใจ

แต่ความยินดีนั้นอยู่ได้ไม่นาน ทุกคนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติรอบตัว: ท้องฟ้าของฮอว์กินส์เริ่มมีอนุภาคสีดำร่วงลงมา พืชต้นหญ้าเริ่มเหี่ยวตายเป็นบริเวณกว้าง – พวกเขาเห็นท้องฟ้าฉีกเปิดออกเป็นเมฆหมุนสีแดงฉานอยู่ไกลลิบ ความจริงอันน่าสะพรึงเผยออกมาว่า

เว็กนาไม่ถูกกำจัดและบาดแผลมิติทั้งสี่แห่งที่มันฉีกเปิดได้ทำให้โลก Upside Down หลั่งไหลเข้าสู่โลกมนุษย์ เหล่าเด็กๆ และผู้ใหญ่ฮีโร่ของเรายืนมองท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยความกังวล เตรียมใจกันว่า มหันตภัยครั้งใหญ่ที่สุดกำลังจะมาถึงฮอว์กินส์ ซึ่งพวกเขาจะต้องรวมพลังกันหยุดยั้งให้ได้ในบทสุดท้าย

หมายเหตุ: ซีซั่น 4 นี้เปิดเผยว่าวายร้าย “เว็กนา/เฮนรี่/หนึ่ง” คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สยองขวัญทั้งหมดของเรื่อง – ตั้งแต่เดโมกอร์กอนในซีซั่น 1, Mind Flayer ในซีซั่น 2-3 ล้วนถูกเฮนรี่ควบคุมอยู่เบื้องหลังด้วยจิตเชื่อมถึงกันของสิ่งมีชีวิตใน Upside Downconsequence.net กล่าวได้ว่าเขาคือศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงของ Eleven และแก๊งเด็กๆ มาโดยตลอด และเหตุการณ์จบลงที่เว็กนายังไม่ตาย การต่อสู้ครั้งสุดท้ายเพื่อปกป้องโลกจึงยังรอคอยพวกเขาอยู่ในซีซั่นถัดไป

Stranger Things 5 ซีซั่นใหม่จะยาวสะใจ ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังโรง

ลืมภาพจำของซีซั่น 1-2 ที่จบกระชับในหนึ่งชั่วโมงไปได้เลยครับ เพราะข้อมูลจาก IMDb ยืนยันแล้วว่า ซีซั่นสุดท้ายที่มี 8 ตอนนี้ หลายๆ ตอนจะมีความยาวทะลุ 90 นาที

พี่น้องดัฟเฟอร์ ผู้สร้างซีรีส์บอกกับ The Hollywood Reporter ว่าพวกเขาออกแบบซีซั่นนี้ให้เป็นแบบ Mega Movies โดยแบ่งการฉายออกเป็นชุด ซึ่งแต่ละชุดจะมีจุดไคลแมกซ์เป็นของตัวเอง

ไฮไลท์เด็ดคือ ตอนอวสาน ที่ Netflix ประกาศว่าจะเล่นใหญ่ด้วยการนำเข้าฉายในโรงภาพยนตร์กว่า 350 แห่งในสหรัฐฯ และแคนาดา ในคืนข้ามปี (New Year’s Eve) พร้อมๆ กับที่ปล่อยลงสตรีมมิ่ง เรียกว่าดูข้ามปีกันให้ตาแฉะไปเลย

สเตรนเจอร์ ติงส์ 5 ทุกเรื่องที่ต้องรู้

ซีซั่นสุดท้าย มีตัวละครหน้าใหม่มาเพิ่ม

เสน่ห์อย่างหนึ่งของ Stranger Things คือการเติมตัวละครใหม่ที่เข้ามาขโมยซีน (คิดถึง เอ็ดดี้ มันสัน สุดใจ!) ซีซั่นนี้ก็เช่นกัน เตรียมพบกับ ลินดา แฮมิลตัน (Linda Hamilton) ตัวแม่สายบู๊จากตำนาน Terminator ที่มาร่วมทัพนักแสดงรุ่นเก๋า ยุค 80s อย่าง Winona Ryder และ Sean Astin

นอกจากนี้ ยังมีนักแสดงดาวรุ่งอย่าง เนลล์ ฟิชเชอร์ ที่จะมารับบทน้องสาวคนเล็ก ฮอลลี่ วีลเลอร์ ในเวอร์ชั่นที่โตขึ้น รวมถึงหน้าใหม่อีกเพียบ พี่น้องดัฟเฟอร์แอบกระซิบว่า การเลือกนักแสดงรุ่นเก๋ามาแจม เป็นความตั้งใจที่จะแนะนำตำนานเหล่านี้ให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จัก

Stranger Things 5 ทยอยปล่อย 3 ล็อต

สมัยก่อน Netflix ชอบปล่อยตูมเดียวจบ แต่เดี๋ยวนี้เทรนด์เปลี่ยนไป ซีซั่นนี้ Netflix วางแผนปล่อยซีรีส์ออกเป็น 3 ช่วง ซึ่งตรงกับเทศกาลสำคัญพอดิบพอดี ทั้ง วันขอบคุณพระเจ้า, คริสต์มาส และวันสิ้นปี

งานนี้ใครที่กะว่าจะพักผ่อนชิลๆ ช่วงวันหยุด อาจจะต้องเปลี่ยนแผนมานั่งเฝ้าหน้าจอแทน เพราะถ้าคุณไม่ดูให้จบเดี๋ยวนั้น รับรองว่าหลบสปอยล์บนโลกโซเชียลไม่พ้นแน่นอน!

ชื่อตอนไม่ได้บอกใบ้เนื้อเรื่องทั้งหมด

ชื่อตอนเป็นคำใบ้ก็จริง แต่ไม่ได้เฉลยตื้นๆ แน่นอน ลองมาวิเคราะห์กันสนุกๆ

  • ตอนที่ 2 “The Vanishing of…” ชื่อคล้ายกับตอนแรกสุดของซีซั่น 1 (“The Vanishing of Will Byers”) สื่อชัดเจนว่าซีซั่นนี้จะพาเราวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ปมการหายตัวไปของ “วิล” ในโลก Upside Down จะถูกขยายความและเชื่อมโยงกับเวคนาด

  • ตอนที่ 4 “Sorcerer” น่าจะอ้างอิงถึงคลาสในเกม Dungeons & Dragons

  • ตอนที่ 6 “Escape from Camazotz” คำว่า Camazotz มาจากตำนานมายัน หมายถึงปีศาจค้างคาว ซึ่งอาจจะเป็นชื่อทางการของพวก “Demobats” ที่ฆ่าเอ็ดดี้ไปในซีซั่นก่อน หรืออาจเชื่อมโยงกับนิยาย A Wrinkle in Time ก็ได้

  • ตอนจบ “The Rightside Up” ชื่อตรงข้ามกับ The Upside Down แฟนๆ ต่างหวังว่านี่อาจเป็นสัญญาณของตอนจบแบบ Happy Ending… แต่ก็นั่นแหละครับ กับซีรีส์เรื่องนี้ไว้ใจใครไม่ได้

การบ้านจากผู้กำกับ จงย้อนกลับไปดู 4 ตอนนี้

พี่น้องดัฟเฟอร์แนะนำแฟนๆ ว่า ถ้าอยากดูซีซั่น 5 ให้รู้เรื่องลึกซึ้ง ควรย้อนกลับไปดู ซีซั่น 2 (ตอนที่ 4 และ 6) และ ซีซั่น 4 (ตอนที่ 7 และ 9)

ทำไมต้องเจาะจง? เพราะซีซั่น 2 คือจุดเริ่มต้นของการปูพื้นฐานตำนานจักรวาลนี้ โดยเฉพาะตอนที่วิลกลายเป็นสปายให้ Upside Down โดยไม่รู้ตัว ส่วนซีซั่น 4 คือการเซตฉากเข้าสู่สงครามครั้งสุดท้าย การย้อนดูจะช่วยให้เราเข้าใจปมความสัมพันธ์ระหว่าง วิล กับ เวคนาด ได้ชัดแจ้งขึ้น ว่าทำไมวิลถึงเป็นผู้ถูกเลือกตั้งแต่แรก

แต่ถ้าใครมีเวลาเหลือเฟือ รอลส ดัฟเฟอร์ แนะนำให้ดู ซีซั่น 1 และ 2 แบบเต็มๆ ไปเลย เพราะซีซั่นสุดท้ายนี้จะเปรียบเสมือนการ “วนกลับมาบรรจบ” (Full Circle) กับปมปริศนาที่วางไว้ตั้งแต่แรกครับ

ตัวละครหลักทุกคนไม่ปลอดภัย

แม้แฟนๆ จะยังเจ็บปวดจากการเสีย บาร์บ, ดร.อเล็กซี่ หรือ เอ็ดดี้ ไป แต่สำหรับซีซั่นสุดท้ายที่มีเดิมพันสูงขนาดนี้ ไม่มีคำว่าเซฟโซนสำหรับใครทั้งนั้น ความลุ้นระทึกว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป นี่แหละคือรสชาติที่แท้จริงของ Stranger Things

จบซีซั่น 5 แต่จักรวาลนี้ยังไม่จบ

เช็ดน้ำตาแล้วฟังข่าวดีครับ แม้ซีรีส์หลักจะจบลง แต่จักรวาลนี้ยังเดินหน้าต่อ ปีหน้า Netflix เตรียมปล่อยซีรีส์อนิเมชั่น Stranger Things: Tales from ’85 ซึ่งจะเป็นเรื่องราวช่วงรอยต่อระหว่างซีซั่น 2 และ 3 ในรูปแบบอนิเมชั่นที่ผู้สร้างบอกว่า “ไร้ขีดจำกัด” ทางจินตนาการ

เตรียมตัวให้พร้อม! Stranger Things ซีซั่น 5 ชุดแรก (ตอนที่ 1-4) เริ่มสตรีมแล้ววันนี้ ใครดูจบแล้ว อย่าเพิ่งสปอยล์เพื่อนนะ!

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button