คลินิกความงามสปอนเซอร์สุขภาพและการแพทย์

ฝ้า คืออะไร ? เกิดจากอะไร ? รักษาฝ้าอย่างไรให้หาย ? รวมวิธีดูแลผิวหน้าให้กลับมากระจ่างใส

ทำความรู้จัก “ฝ้า” ปัญหาผิวที่หลายคนกังวล

“ฝ้า” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนที่ต้องเจอแสงแดดอยู่เป็นประจำ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จนผิวเริ่มหมองคล้ำไม่สม่ำเสมอ แต่การดูแลและรักษาฝ้าไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจสาเหตุและเลือกวิธีรักษาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง

ในบทความนี้ จะพาไปทำความเข้าใจตั้งแต่ ฝ้าคืออะไร ? เกิดจากอะไร ? มีกี่ประเภท ? ไปจนถึงแนวทางการรักษาและป้องกันฝ้า ทั้งแบบธรรมชาติและหัตถการทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ฝ้า เมโสหน้าใส รีจูรัน และสกินบูสเตอร์

ฝ้า คืออะไร ? เข้าใจปัญหาผิวที่หลายคนมองข้าม

ฝ้า (Melasma) คือภาวะผิวหนังที่เกิดจากการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ที่มากผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ทำให้ผิวบริเวณนั้นดูคล้ำกว่าปกติ มักปรากฏเป็นรอยสีน้ำตาลอ่อน เทา หรือเทาเข้ม ลักษณะเป็นแผ่นหรือปื้น พบได้มากในบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก จมูก และขมับ

ตำแหน่งฝ้าที่พบบ่อยบนใบหน้า

แม้ “ฝ้า” จะไม่อันตรายต่อสุขภาพ แต่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ดูแก่กว่าวัย และหากปล่อยไว้นานอาจกลายเป็นฝ้าฝังลึกที่รักษายาก จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนอยากหาวิธีรักษาฝ้าและกำจัดฝ้า เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสอีกครั้งครับ

ฝ้า เกิดจากอะไร ? รวมปัจจัยสำคัญที่ควรรู้

การรู้สาเหตุของการเกิดฝ้า เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้รักษาได้ตรงจุดมากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจว่าฝ้าเกิดจากอะไร เราก็สามารถปรับพฤติกรรมและดูแลผิวได้อย่างเหมาะสม ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดฝ้ามีดังนี้ครับ

ฝ้า เกิดจากอะไร

  • แสงแดด : ถือเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า เพราะรังสี UV จากแสงแดดจะกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานหนักขึ้น จนผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ทำให้ผิวคล้ำและเกิดรอยฝ้าได้ง่าย โดยเฉพาะคนที่ไม่ทาครีมกันแดดเป็นประจำหรืออยู่กลางแดดนาน ๆ
  • กรรมพันธุ์ : ฝ้ามีแนวโน้มถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดขึ้นในรุ่นถัดไป แม้ว่าปัจจุบันยังไม่สามารถระบุยีนที่ควบคุมการเกิดฝ้าได้ชัดเจน แต่พบว่าลักษณะผิวและการตอบสนองต่อแสงแดดมีส่วนสำคัญ
  • ฮอร์โมน : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในระดับที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากขึ้น จึงทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย
  • ความเครียด : เมื่อร่างกายเกิดความเครียด จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามากเกินไป ส่งผลให้การทำงานของเมลาโนไซต์ไม่สมดุล เร่งให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินใต้ผิวมากขึ้น และเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นในระยะยาว
  • มลภาวะ : ฝุ่น ควัน และสารเคมีจากสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวอ่อนแอ เกิดการอักเสบและระคายเคืองเรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ผิวจึงเกิดฝ้าได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในเมืองหรือเผชิญมลภาวะทุกวัน

ฝ้ามีกี่ประเภท ? แยกอย่างไร ?

ลักษณะของฝ้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

ฝ้าบนใบหน้ามีกี่ประเภท

  1. ฝ้าตื้น : อยู่เฉพาะในชั้นหนังกำพร้า หรือผิวหนังชั้นนอกสุด ลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม เห็นขอบชัดเจน รักษาได้ง่าย และตอบสนองต่อการทายาหรือเลเซอร์ได้ดี
  2. ฝ้าลึก : อยู่ในชั้นหนังแท้ มีสีออกน้ำตาลเทาหรือเทาอมม่วง ขอบเขตไม่ชัดเจน รักษายากกว่าแบบตื้น และมักต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การทำเลเซอร์ควบคู่กับยาทา
  3. ฝ้าผสม : เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกผสมกันในบริเวณเดียวกัน ทำให้การรักษาต้องอาศัยการประเมินอย่างรอบคอบจากแพทย์ เพื่อวางแผนให้เหมาะกับแต่ละชั้นผิว

นอกจาก 3 ประเภทหลักแล้ว ฝ้ายังสามารถแบ่งตามสาเหตุและปัจจัยกระตุ้นได้อีก เช่น

  • ฝ้าตามอายุ : มักพบในผู้สูงอายุ เนื่องจากผิวอ่อนแอและกระบวนการซ่อมแซมผิวทำงานได้ช้าลง
  • ฝ้าฮอร์โมน : มักเกิดในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด หรือผู้ที่มีความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติ
  • ฝ้าแดด : เกิดจากการได้รับรังสี UV จากแสงแดดมากเกินไป รวมถึงแสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ทำให้เม็ดสีเมลานินผลิตมากเกินไป จนเกิดเป็นรอยฝ้าชัดเจน

วิธีรักษาฝ้า มีกี่แบบ ? แบบไหนเห็นผลเร็ว ?

การรักษาฝ้ามีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความลึกของฝ้าและสภาพผิวของแต่ละคน โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งวิธีที่นิยมและได้ผลดีมีดังนี้ครับ

1. ทายาและใช้ครีมลดฝ้า

ทายาและใช้ครีมลดฝ้า

เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยให้รอยฝ้าจางลงได้เมื่อใช้ต่อเนื่อง ตัวยาที่ใช้มักมีส่วนผสมของ ไฮโดรควิโนน, เรติโนอิก, หรือ วิตามินซี ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน และในบางรายแพทย์อาจให้ ยากลุ่ม Tranexamic Acid เสริมเพื่อลดการสร้างเม็ดสีจากภายใน แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นครับ

2. ทำเลเซอร์ฝ้า

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและเห็นผลเร็วที่สุดในปัจจุบัน เพราะเลเซอร์จะยิงพลังงานลงไปจัดการเม็ดสีใต้ผิวโดยตรง พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น เหมาะกับทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก โดยทั่วไปควรทำต่อเนื่อง 4–6 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลชัดเจน

ประเภทเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาฝ้า

  1. Pico Laser : เลเซอร์รุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานสั้นระดับพิโควินาที สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำลายผิวรอบข้าง เหมาะสำหรับรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยหมองคล้ำ เห็นผลไว ผิวฟื้นตัวเร็ว เครื่องยอดนิยม เช่น PicoSure Pro และ PicoPlus
เลเซอร์ฝ้า Pico Laser
เครื่องเลเซอร์รักษาฝ้า Pico Laser
  1. RF Microneedling : เทคโนโลยีที่ผสานระหว่างคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radio Frequency) กับการใช้ไมโครนีดเดิล (Microneedle) ช่วยฟื้นฟูผิวชั้นลึก กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ลดการอักเสบ และ ป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำ ได้ดี ตัวอย่างเครื่องที่ได้รับความนิยมคือ Sylfirm X Plus

เครื่องเลเซอร์รักษาฝ้า Sylfirm X Plus

  1. Q-Switched Nd:YAG Laser : ช่วยลดเม็ดสีส่วนเกินใต้ผิว เหมาะสำหรับฝ้าตื้น ฝ้าแดด และกระบางชนิด ช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอมากขึ้น
  2. Dual Yellow Laser : ใช้พลังงานแสงสีเหลืองและสีเขียวในการลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยแดงจากการอักเสบ พร้อมช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  3. Fractional Laser : เลเซอร์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดริ้วรอย รูขุมขนกว้าง และรอยฝ้าได้พร้อมกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวควบคู่ไปกับการรักษาฝ้า

3. รักษาฝ้าด้วยการฉีดเมโสหน้าใส

รักษาฝ้าด้วยการฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดเมโสหน้าใส หรือ เมโสฝ้า กระ เป็นวิธีที่ช่วยให้รอยฝ้าจางไวกว่าการทาครีม เพราะแพทย์จะฉีดสารบำรุง เช่น วิตามินและกรดอะมิโน เข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง เพื่อยับยั้งเม็ดสีเมลานินและกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้รอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ จางลง โดยแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง (เว้นระยะห่างสัปดาห์ละ 1 ครั้ง) ในช่วงเดือนแรกเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนครับ

4. รักษาฝ้าด้วยการผลัดเซลล์ผิว

รักษาฝ้าด้วยการผลัดเซลล์ผิว

Chemical Peel หรือการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดอ่อน เช่น Glycolic Acid หรือ TCA ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออก กระตุ้นผิวใหม่ให้เรียบเนียนขึ้น แต่ไม่เหมาะกับผิวบอบบาง และควรทำโดยแพทย์เท่านั้น

5. รักษาฝ้าด้วยการฉีด PRP หน้าใส

รักษาฝ้าด้วยการฉีด PRP หน้าใส

PRP (Platelet-Rich Plasma) คือการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นของคนไข้เองฉีดกลับเข้าสู่ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวจากภายใน ช่วยให้ผิวแข็งแรงและสีผิวสม่ำเสมอขึ้น

6. รักษาฝ้าด้วยการฉีด Rejuran

รักษาฝ้าด้วยการฉีด Rejuran

Rejuran มีส่วนประกอบของ Polynucleotide (PN) จาก DNA ปลาแซลมอน ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอ และปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ที่มีฝ้าฝังลึกหรือเป็นมานานครับ

7. รักษาฝ้าด้วยการฉีด Skin Booster

รักษาฝ้าด้วยการฉีด Skin Booster

การฉีด Skin Booster ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงด้วย Hyaluronic Acid (HA) โมเลกุลเล็ก เพิ่มความชุ่มชื้นและลดการเกิดฝ้าใหม่ เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำจากแสงแดด โดยฟิลเลอร์ Skin Booster ยี่ห้อที่นิยม เช่น Belotero Revive, Restylane Vital Light, Skinvive

8. ดริปวิตามินป้องกันฝ้า

ดริปวิตามินป้องกันฝ้า

การดริปวิตามิน ช่วยเสริมสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เช่น วิตามินซี และคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายโดยตรง เพื่อลดอนุมูลอิสระจากแสงแดดและมลภาวะ ช่วยให้เม็ดสีทำงานสมดุลขึ้นและลดโอกาสเกิดฝ้าใหม่ในอนาคต ทั้งยังช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น

9. ทาครีมกันแดดป้องกันฝ้า

ทาครีมกันแดดป้องกันฝ้า

การทาครีมกันแดดป้องกันฝ้า เป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญมากที่สุด เพราะหากไม่ป้องกันแสงแดด การรักษาอื่นก็ไม่เห็นผล ควรเลือกครีมกันแดด SPF 50+ / PA++++ แบบ Triple Protection ป้องกันได้ทั้ง UVA, UVB และแสงสีฟ้า

หากถามว่าการรักษาฝ้าแบบไหนเห็นผลเร็ว การทำเลเซอร์รักษาฝ้า เป็นหนึ่งในวิธีที่ให้ผลลัพธ์ไวและช่วยลดรอยฝ้าได้ชัดเจน แต่เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและช่วยให้ผิวฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง สามารถรักษาฝ้าแบบผสมผสานหลายวิธีร่วมกัน ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดครับ

วิธีรักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับคนที่อยากดูแลผิวให้ดีขึ้นด้วยวิธีง่าย ๆ จากธรรมชาติ สามารถใช้พืชผักหรือสมุนไพรใกล้ตัวมาทำมาสก์หน้าได้ ซึ่งช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นและลดเลือนรอยฝ้าได้ในระดับหนึ่งครับ

  • มาสก์หน้าด้วยหัวไชเท้า : นำหัวไชเท้าสดมาปั่นหรือตำละเอียด แล้วพอกบาง ๆ บนผิว ทิ้งไว้ประมาณ 10–15 นาที จากนั้นล้างออก หัวไชเท้ามีสารไกลโคไซด์ (Glycosides) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน
  • มาสก์หน้าด้วยใบบัวบก : ปั่นใบบัวบกสดให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ช่วยลดการอักเสบของผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และทำให้รอยฝ้าดูจางลง
  • มาสก์หน้าด้วยมะขามเปียก : นำเนื้อมะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อย แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที มะขามเปียกมีกรด AHA ธรรมชาติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น
  • มาสก์หน้าด้วยไข่ขาว : ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟู แล้วพอกบนผิวหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ไข่ขาวช่วยกระชับรูขุมขนและลดความมัน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ฝ้าดูเข้มขึ้น

การใช้วิธีธรรมชาติเป็นเพียงแนวทางเสริมในการดูแลผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้น แต่ไม่สามารถทดแทนการรักษาทางการแพทย์ได้ หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกแนวทางที่เหมาะสมครับ

รักษาฝ้าแบบไหนเหมาะสมที่สุด ?

รักษาฝ้าแบบไหนดี

การเลือกวิธีรักษาฝ้าที่เหมาะสม ไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันได้กับทุกคนครับ เพราะ “ฝ้า” ของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งความลึกของเม็ดสี สีผิว พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการตอบสนองต่อการรักษา

ดังนั้น ก่อนเริ่มการรักษาฝ้า ควรให้แพทย์ประเมินสภาพผิวและประเภทของฝ้าอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งอาจผสมผสานหลายวิธี เช่น การทายา เลเซอร์ เมโส หรือการฉีดบำรุง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะกับผิวของแต่ละคนมากที่สุดครับ

รักษาฝ้า ที่ V Square Clinic ดีไหม ?

รักษาฝ้า ที่ V Square Clinic

V Square Clinic เป็นคลินิกที่ให้บริการรักษาฝ้าแบบครบวงจร โดยแพทย์จะประเมินสภาพผิวอย่างละเอียดก่อนเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด

  • ดูแลโดยแพทย์มากประสบการณ์ทุกเคส ทุกการรักษาจะได้รับการประเมินโดยแพทย์จริง ไม่ผ่านเซลล์ แพทย์จะตรวจสภาพผิว วิเคราะห์ระดับความลึกของฝ้า และออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล
  • ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ผิว 3 มิติ ISOMECO 3D D9 ช่วยให้แพทย์เห็นโครงสร้างและเม็ดสีใต้ผิวอย่างละเอียด เพื่อเลือกวิธีรักษาที่ตรงจุดมากที่สุด
  • มีทางเลือกการรักษาหลากหลาย ครอบคลุมทุกระดับของฝ้า เช่น
    เลเซอร์รักษาฝ้า (PicoSure Pro, Pico Plus, Sylfirm X, Fotona)
    เมโสฝ้า / เมโสหน้าใส ช่วยลดเม็ดสีและปรับผิวใส
    Rejuran / Skin Booster ฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรง ลดโอกาสฝ้ากลับมา
  • ติดตามผลหลังทำทุกเคส มีการนัดตรวจผลลัพธ์ ปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม เพื่อให้ผิวฟื้นตัวและเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
  • โปรแกรมราคาเหมาะสม เลือกได้ตามงบประมาณและปัญหาผิว คนไข้สามารถเลือกได้ทั้งคอร์สเดี่ยวหรือแบบผสมผสาน เพื่อให้ตอบโจทย์มากที่สุดในงบที่ตั้งไว้

วิธีป้องกันฝ้า ให้ผิวใสไม่กลับมาคล้ำอีก

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด หากจำเป็นต้องออกกลางแจ้ง ควรสวมหมวก แว่นกันแดด หรือกางร่ม เพื่อป้องกันรังสี UV จากแสงแดดโดยตรง
  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ ขึ้นไป ปริมาณที่เหมาะสมคือ 2 ข้อนิ้ว หรือประมาณเหรียญสิบ 1–2 เหรียญ เพื่อป้องกันทั้งแสงแดดและแสงจากหน้าจอ
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มะเขือเทศ แอปเปิล ช่วยลดการเกิดฝ้าและฟื้นฟูผิวจากภายใน
  • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและควบคุมการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสี
  • หลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด หากจำเป็นควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
  • งดใช้ครีมหน้าขาวที่ไม่ผ่าน อย. เพราะอาจมีสารอันตราย เช่น ปรอทหรือสเตียรอยด์ ที่ทำให้ผิวบางและเกิดฝ้ามากกว่าเดิมครับ

สรุปเรื่องฝ้า

ปัญหาฝ้าแม้จะไม่อันตรายต่อสุขภาพ แต่สามารถส่งผลต่อความมั่นใจได้มาก การเข้าใจสาเหตุและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับสภาพผิว คือกุญแจสำคัญในการดูแลฝ้าให้จางลงอย่างเห็นผล การรักษาที่ดีควรทำควบคู่กับการป้องกัน เช่น การทาครีมกันแดดและดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผิวกลับมากระจ่างใสและลดโอกาสการกลับมาเป็นฝ้าอีกครั้งครับ

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Thosapol

นักเขียนบทความที่ Thaiger จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชี่ยวชาญเรื่องบทความท่องเที่ยว บันเทิง ไลฟ์สไตล์ ผ่านการค้นหาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานอดิเรกมีความสนใจในกระแสข่าวรอบตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม การเมือง และที่สำคัญคือเป็นทาสแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ช่องทางติดต่อ thospol@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button