บทสวดพาหุงมหากา พร้อมคำแปล สวดมนต์ทุกวัน ชีวิตมงคลรุ่งเรือง

บทสวดพาหุงมหากา นิยมสวดกันในช่วงเช้าและก่อนนอน หรือสวดได้ทุกเวลาที่ต้องการ ก่อนเริ่มสวด ให้เริ่มทำสมาธิท่องนะโม 3 จบ และตามด้วยบทสวดไตรสรณคมน์ และบทสวดอิติปิโส ตามลำดับ
บทสวดมนต์พาหุงมหากา เป็นที่รู้จัก ขจรขจายในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทย เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาเถรวาท บทสวดนี้มีอ 2 ส่วน ส่วนแรกคือ “พุทธชัยมงคลคาถา” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “พาหุง” ซึ่งประกอบด้วยคาถา 8 บท พรรณนาถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ 8 ประการของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือหมู่มารและบุคคลผู้เป็นปฏิปักษ์ ส่วนที่ 2 คือบทสรุปท้ายที่เรียกว่า “มหาการุณิโก” หรือ “มหากา” ซึ่งเป็นการประกาศถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระพุทธองค์
ฐานะที่เป็นบทสวดมนต์ พาหุงมหากามีสถานะเป็นทั้ง “ปริตร” (paritta) คือมนต์สำหรับป้องกันภยันตราย นำมาซึ่ง “มงคล” (mangala) อความเจริญรุ่งเรือง ความศักดิ์สิทธิ์ของบทสวดนี้มิได้อยู่ที่อานุภาพเหนือธรรมชาติ หากแต่อยู่ที่การน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ อันเป็นคุณสมบัติที่นำไปสู่ชัยชนะที่แท้จริง ผู้สวดสามารถน้อมนำเอาคุณธรรมและพุทธานุภาพเหล่านั้นมาเป็นเครื่องกำจัดอุปสรรคและสร้างเสริมสิริมงคลให้แก่ตนเองได้
บทชัยมงคลคาถา พาหุงมหากา
พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆ ระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
มาราติเร กะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะยะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกาวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฉฐะคาถา โย
วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ
คำแปลบทสวดชัยมงคลคาถา
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้ทรงชนะพญามารผู้เนรมิตแขนตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างครีเมขละ พร้อมด้วยเสนามารที่โห่ร้องกึกก้อง ด้วยธรรมวิธีมีการให้ทานเป็นต้น ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้ทรงชนะอาฬวกยักษ์ผู้มีจิตกระด้าง หยาบคาย มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพญามาร ซึ่งเข้ามาต่อสู้กับพระองค์ตลอดทั้งคืน ด้วยวิธีทรมานอันดีคือพระขันติ ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้ทรงชนะช้างนาฬาคิรีตัวประเสริฐที่กำลังเมามัน ดุร้ายยิ่งนัก ประดุจไฟป่า จักราวุธ และสายฟ้า ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำคือพระเมตตา ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้ทรงชนะโจรชื่อองคุลิมาล ผู้แสนร้ายกาจ มีฝีมือ ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปเป็นระยะทางถึง ๓ โยชน์ ด้วยการบันดาลฤทธิ์ทางใจ ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้ทรงชนะคำกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา ที่ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์โดยเอาท่อนไม้ผูกไว้ที่ท้อง ด้วยวิธีสงบระงับพระทัยอันงาม ในท่ามกลางหมู่ชน ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้ทรงชนะสัจจกนิครนถ์ผู้มีปกติละทิ้งความสัตย์ มุ่งแต่จะยกถ้อยคำของตนให้สูงดุจธงชัย เป็นผู้มืดบอดยิ่งนัก ด้วยการจุดประทีปคือปัญญาให้สว่างไสว ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้โปรดให้พระโมคคัลลานะเถระพุทธชิโนรสไปทรมานนันโทปนันทนาคราช ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีแสดงฤทธิ์ที่เหนือกว่า ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระจอมมุนี ได้ทรงชนะท้าวผกาพรหมผู้มีนามว่าพกา ผู้มีฤทธิ์ สำคัญว่าตนรุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีมือที่ถูกพญานาคือทิฐิที่ผิดรัดไว้อย่างแน่นหนา ด้วยวิธีวางยาคือเทศนาญาณ ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน
นรชนใดผู้มีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดหรือระลึกถึงพระพุทธชัยมงคล ๘ คาถานี้ทุกวัน นรชนนั้นจะพึงละซึ่งอุปัทวันตรายทั้งหลายทั้งปวง และพึงบรรลุถึงซึ่งโมกข์และสุขอันเป็นแดนเกษม
บทมหาการุณิโก
มหาการุณิโกนาโถหิตายสพฺพปาณินํ
ปูเรตฺวาปารมีสพฺพาปตฺโตสมฺโพธิมุตฺตมํ
เอเตนสจฺจวชฺเชนโหตุเตชยมงฺคลํฯ
คำแปลบทสวดมหาการุณิโก
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งปวงเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
จนได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณอันสูงสุด
ด้วยสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน
บทสวดพาหุงมหากา มีที่มาจากไหน
ความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดคือ บทสวดพุทธชัยมงคลคาถา ได้รับการรจนาขึ้นโดยสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว (ปัจจุบันคือวัดใหญ่ชัยมงคล) เพื่อถวายแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่าในปี พ.ศ. 2135 ประทับความหมายในเชิง “ชัยชนะเหนือศัตรู” ทั้งในระดับชาติและส่วนบุคคลลงไปในจิตสำนึกของคนไทยอย่างลึกซึ้ง
ตำนานนี้ได้เปลี่ยนสถานะของบทสวด จากที่เป็นเพียงการระลึกถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้าในอดีต ให้กลายเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อจำลองชัยชนะ เมื่อผู้สวดเปล่งเสียงสาธยายบทพาหุง พวกเขามิได้เพียงแค่เล่าเรื่อง แต่กำลังดึงเอาพลังแห่งชัยชนะนั้นมาสู่ตนเอง
ในทางวิชาการ มีข้อสันนิษฐานว่าโครงสร้างของบทสวดอาจได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ปริตรของลังกา ซึ่งมีประเพณีการรวบรวมเรื่องราวชัยชนะของพระพุทธเจ้ามาใช้ในบทสวดเพื่อการป้องกันภัยมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของเนื้อหาและฉันทลักษณ์แล้ว พุทธชัยมงคลคาถาฉบับที่แพร่หลายในไทยนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวที่เด่นชัด จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการรจนาขึ้นใหม่โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกรอบความคิดเดิมมากกว่าที่จะเป็นการแปลโดยตรง
ไม่ว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์จะเป็นเช่นไร คนไทยได้ตีความและนำบทสวดนี้ไปใช้ในฐานะเครื่องมือทางจิตวิญญาณเพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง แล้วได้ผลดีด้วย
สรุปพุทธชัยมงคล 8 ประการ พระพุทธเจ้าชนะอะไรบ้าง

ชัยชนะที่ 1 พิชิตพญามาร ณ โพธิบัลลังก์
เรื่องราวในพุทธประวัติ ในราตรีก่อนการตรัสรู้ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระโพธิสัตว์ได้ทรงเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือพญาวสวัตดีมาร ผู้เป็นประมุขแห่งปรนิมมิตวสวัตดีสวรรค์ มารได้เนรมิตกองทัพอันน่าสะพรึงกลัว พรั่งพร้อมด้วยศาสตราวุธนานัปการ เข้าโจมตีพระองค์จากทุกทิศทาง พร้อมทั้งส่งธิดาทั้งสาม คือ ตัณหา ราคา และอรดี มายั่วยวนด้วยกามคุณ แต่พระหฤทัยของพระองค์ก็มิได้หวั่นไหว เมื่อการประจญด้วยอำนาจและความยั่วยวนไม่เป็นผล พญามารจึงได้ท้าทายถึงสิทธิ์ในการบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์ โดยอ้างว่าบัลลังก์นี้เป็นของตน และไม่มีใครเป็นพยานในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ได้
ปรปักษ์และกิเลส พญามารในที่นี้มิใช่เป็นเพียงอสูรกายจากภายนอก แต่เป็นบุคลาธิษฐานของกิเลสทั้งปวงที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจ เป็นสัญลักษณ์ของ “อัตตา” ที่ต่อต้านการหลุดพ้นอย่างถึงที่สุด กองทัพมารคือภาพสะท้อนของนิวรณ์ 5 อันได้แก่ กามฉันทะ (ความพอใจในกาม), พยาบาท (ความปองร้าย), ถีนมิทธะ (ความหดหู่ซึมเซา), อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ), และวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) การเอาชนะมารจึงหมายถึงการเอาชนะกิเลสภายในจิตใจของตนเองได้อย่างสิ้นเชิง
พุทธวิธีและคุณธรรม พระคาถาบทแรกระบุวิธีแห่งชัยชนะไว้ว่า อันหมายถึง “ด้วยวิธีแห่งธรรม มีทานเป็นต้น” พระพุทธองค์มิได้ทรงต่อสู้ด้วยฤทธิ์เดชหรืออำนาจ แต่ทรงน้อมรำลึกถึงบารมี 10 ทัศที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนมหากัปป์ โดยมีทานบารมีเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด พระองค์ทรงเหยียดพระดรรชนีชี้ลงบนพื้นปฐพี และเปล่งวาจาอ้างเอาแผ่นดินเป็นพยานในการบำเพ็ญบารมีของพระองค์ ทันใดนั้น นางวสุนธราธรณีก็ได้ปรากฏกายขึ้นและบีบมวยผมหลั่งอุทกธาราที่พระองค์ทรงหลั่งไว้ทุกครั้งที่ทำทานให้ไหลออกมาเป็นสมุทรหลวง พัดพากองทัพมารให้แตกพ่ายไปสิ้น ชัยชนะนี้จึงเป็นชัยชนะแห่งคุณงามความดีที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
ชัยชนะภายใน สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน การเผชิญหน้ากับ “มาร” ของตนเองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มารในใจของเราคือเสียงกระซิบของความสงสัย ความอยาก และความกลัว ชัยชนะครั้งแรกนี้จึงเป็นต้นแบบและเป็นกำลังใจให้เรายืนหยัดต่อสู้กับกิเลสภายใน ด้วยการสั่งสมคุณงามความดี (บารมี) และความตั้งมั่นไม่หวั่นไหว (สมาธิ) จนกว่าจะสามารถเอาชนะมันได้ในที่สุด
ชัยชนะที่ 2 ทรมานอาฬวกยักษ์
อาฬวกยักษ์เป็นยักษ์ที่มีอานุภาพมาก ดุร้าย กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร มีที่สถิตอยู่ในป่าเขตเมืองอาฬวี คืนหนึ่ง พระพุทธองค์ได้เสด็จไปยังวิมานของอาฬวกยักษ์เพื่อโปรด ยักษ์โกรธมากและได้ข่มขู่พระพุทธองค์ต่างๆ นานา แต่พระองค์ก็ทรงอดทนและสงบนิ่ง อาฬวกยักษ์จึงได้ตั้งคำถามเชิงปรัชญาที่ลึกซึ้ง 8 ข้อ ซึ่งหากพระองค์ตอบไม่ได้ก็จะถูกจับกินเป็นอาหาร การประลองปัญญานี้ดำเนินไปตลอดทั้งคืน พระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาทุกข้อด้วยพระปัญญาอันเฉียบแหลมและแจ่มแจ้ง จนในที่สุดอาฬวกยักษ์ผู้ดุร้ายก็ได้ละพยศ ยอมจำนน และบรรลุเป็นพระโสดาบัน
ปรปักษ์และกิเลส อาฬวกยักษ์เป็นตัวแทนของความก้าวร้าวรุนแรงที่เกิดจากอวิชชาและโทสะ เป็นอำนาจฝ่ายต่ำที่ใช้กำลังเป็นที่ตั้ง จิตใจของยักษ์นั้นหยาบกระด้างและมืดบอด ไม่เข้าใจในเหตุผลและคุณธรรม
พุทธวิธีและคุณธรรม คุณธรรมสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในชัยชนะครั้งนี้คือ “ขันติ” () และ “ปัญญา” () พระองค์ทรงอดทนต่อคำขู่และการแสดงอำนาจของยักษ์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น จากนั้นจึงทรงใช้วิธีการที่เรียกว่า “สุทันตวิธี” คือวิธีการทรมานหรือฝึกฝนอย่างดีเยี่ยม ด้วยการค่อยๆ ทำลายความเห็นผิดและความมืดบอดของยักษ์ด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา เปลี่ยนจากความโกรธเกรี้ยวให้กลายเป็นความเลื่อมใส
เรื่องราวนี้สอนให้เรารู้จักวิธีรับมือกับ “ยักษ์” ในใจของเราเอง นั่นคืออารมณ์โกรธ ความหงุดหงิด หรืออคติที่ดิบเถื่อนและไร้เหตุผล ชัยชนะนี้ชี้ให้เห็นว่าสภาวะเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้ด้วยการใช้กำลังตอบโต้ แต่ต้องใช้ความอดทนในการเผชิญหน้า และใช้ปัญญาในการค่อยๆ พิจารณาและเปลี่ยนแปลงมันจากภายใน
ชัยชนะที่ 3 สยบช้างนาฬาคิรี
พระเทวทัตผู้มีจิตริษยาในพระพุทธองค์ ได้วางแผนลอบปลงพระชนม์โดยการมอมเหล้าช้างหลวงชื่อ “นาฬาคิรี” ซึ่งเป็นช้างที่ดุร้ายที่สุดในกรุงราชคฤห์ แล้วปล่อยให้วิ่งเข้าใส่พระพุทธองค์ขณะเสด็จบิณฑบาต ช้างนาฬาคิรีวิ่งมาด้วยความบ้าคลั่ง ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ผู้คนต่างวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว แต่พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอานนท์กลับมิได้ทรงหวั่นไหว พระองค์ทรงแผ่กระแสแห่งพระเมตตาไปยังช้างนาฬาคิรี ดุจดังการประพรมด้วยน้ำอมฤต ช้างที่กำลังเมามันและดุร้าย เมื่อได้รับกระแสแห่งเมตตาก็พลันสร่างเมา ลดงวงลง คุกเข่าถวายบังคมแทบพระบาท
ปรปักษ์และกิเลส ช้างนาฬาคิรีเป็นสัญลักษณ์ของ “โทสะ” หรือความโกรธที่รุนแรงและปราศจากการควบคุม เป็นพลังทำลายล้างที่มืดบอด ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เปรียบได้กับไฟป่าหรือสายฟ้าที่ทำลายทุกสิ่ง
อาวุธที่พระพุทธองค์ทรงใช้คือ “เมตตา” () ซึ่งในพระคาถากล่าวว่าเป็น หรือ “วิธีแห่งการประพรมด้วยน้ำคือเมตตา” นี่คือการแสดงให้เห็นถึงหลักการสำคัญของพุทธศาสนาที่ว่า “พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ” พลังแห่งความรักความปรารถนาดีที่บริสุทธิ์นั้นมีอานุภาพยิ่งกว่ากำลังทางกายใดๆ สามารถดับไฟแห่งความโกรธและเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้
ชัยชนะครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า เมื่อเราต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวหรือความเป็นปฏิปักษ์จากผู้อื่น การตอบโต้ด้วยความโกรธมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง วิธีที่ดีที่สุดคือการเจริญเมตตา แผ่ความปรารถนาดีออกไป ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดความขัดแย้งภายนอก แต่ยังช่วยรักษาจิตใจของเราให้สงบและเป็นสุขอีกด้วย
ชัยชนะที่ 4 โปรดองคุลิมาลโจร
องคุลิมาล เดิมชื่อ อหิงสกะ เป็นบุตรของปุโรหิต แต่ถูกอาจารย์หลอกลวงให้ไปฆ่าคนเพื่อตัดนิ้วมาให้ครบ 1,000 นิ้วเพื่อเป็นค่าครู เขากลายเป็นมหาโจรที่น่าสะพรึงกลัว ฆ่าคนไปแล้ว 999 คน และกำลังมองหาเหยื่อรายสุดท้ายซึ่งก็คือมารดาของตนเอง พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณว่าองคุลิมาลมีอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ จึงเสด็จไปขวางทางไว้ องคุลิมาลวิ่งไล่ตามพระองค์ แต่แม้จะวิ่งสุดกำลังก็ไม่อาจตามทัน จนต้องร้องตะโกนว่า “หยุดก่อน สมณะ” พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด” คำตรัสสั้นๆ นี้ได้สติแก่องคุลิมาล ทำให้เขาได้คิดและทิ้งดาบขอบรรพชา และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
องคุลิมาลเป็นตัวแทนของความโหดเหี้ยมและการกระทำบาปอันเกิดจาก “อวิชชา” หรือความไม่รู้จริง เขาตกเป็นเหยื่อของคำสอนที่ผิดๆ และสร้างวงจรแห่งกรรมชั่วอย่างไม่หยุดยั้ง
พระพุทธองค์ทรงใช้ “อิทธิปาฏิหาริย์” () ในการทำสิ่งที่เหนือสามัญวิสัย คือการเดินด้วยฝีเท้าปกติแต่ทำให้โจรที่วิ่งสุดกำลังตามไม่ทัน () เพื่อทำลายความยึดมั่นในกำลังกายขององคุลิมาล แต่หัวใจสำคัญของชัยชนะนี้คือ “พระมหากรุณา” ที่ทรงเสี่ยงอันตรายไปโปรด และ “พระปัญญา” ที่ทรงใช้วาจาเพียงประโยคเดียวเพื่อกระตุกจิตสำนึกและหยุดวงจรแห่งบาปนั้น
เรื่องราวขององคุลิมาลสอนให้รู้ว่า ไม่มีใครที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะแก้ไขได้ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ชัยชนะนี้คือการเอาชนะ “วงจรแห่งกรรมชั่ว” ในใจเราเอง การหยุดในความหมายของพระพุทธองค์คือการหยุดสร้างอกุศลกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ ส่วนการ ยังไม่หยุด ของเราคือการที่ยังคงวิ่งวนอยู่ในสังสารวัฏด้วยอำนาจของกิเลส
ชัยชนะที่ 5 สยบนางจิญจมาณวิกา
ในยุคที่พระพุทธศาสนากำลังรุ่งเรือง พวกเดียรถีย์ (เจ้าลัทธิอื่น) เกิดความริษยาและต้องการทำลายชื่อเสียงของพระพุทธองค์ จึงได้วางแผนให้นางจิญจมาณวิกา ซึ่งเป็นศิษย์ของตน แกล้งทำเป็นตั้งครรภ์โดยเอาท่อนไม้กลมมาผูกไว้ที่ท้อง แล้วเข้าไปกล่าวหาพระพุทธองค์ในท่ามกลางธรรมสภาว่าทรงเป็นต้นเหตุของครรภ์นั้น ขณะที่นางกำลังกล่าวร้ายอย่างคะนองปาก พระพุทธองค์มิได้ทรงตอบโต้ แต่ทรงประทับนิ่งด้วยพระอาการสงบ จนกระทั่งร้อนถึงท้าวสักกเทวราช ต้องแปลงกายเป็นหนูไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ ทำให้ท่อนไม้หล่นลงมา ความจริงจึงปรากฏแก่สายตาของมหาชน นางจิญจาฯ จึงถูกธรณีสูบในที่สุด
นางจิญจมาณวิกาเป็นตัวแทนของ “วจีทุจริต” คือการพูดเท็จ การใส่ร้ายป้ายสี อันเกิดจากความริษยาและจิตใจที่มุ่งร้าย
พระพุทธองค์ทรงเอาชนะคำกล่าวร้ายด้วย “ความสงบ” และ “อุเบกขา” พระองค์ทรงทราบดีว่าการโต้เถียงกับคนพาลมีแต่จะทำให้เรื่องบานปลาย จึงทรงเลือกที่จะนิ่งเฉย ปล่อยให้ความจริงปรากฏขึ้นเองด้วยอำนาจแห่งคุณธรรมของพระองค์ วิธีการนี้เรียกว่า “โสมวิธี” คือวิธีอันงดงามและสงบเยือกเย็น ซึ่งแสดงถึงความมั่นคงไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมฝ่ายลบ
ในชีวิตประจำวัน เราอาจต้องเผชิญกับการถูกนินทาว่าร้ายหรือเข้าใจผิด ชัยชนะครั้งนี้สอนให้เรามีสติและอดทน ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ทุกเรื่องราว แต่จงรักษาความดีและความสงบในใจไว้ เพราะในที่สุดแล้ว “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” และคุณงามความดีที่เราทำจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราได้ดีที่สุด
ชัยชนะที่ 6 เอาชนะสัจจกนิครนถ์
สัจจกนิครนถ์เป็นนักบวชนอกศาสนาที่มีชื่อเสียงในเมืองเวสาลี เป็นผู้ที่ภาคภูมิใจในความรู้และวาทศิลป์ของตนเองอย่างยิ่ง เขามีความเชื่อว่าไม่มีสมณพราหมณ์คนใดในโลกที่จะโต้แย้งกับเขาแล้วจะไม่ประหม่าหรือตัวสั่นได้ สัจจกะได้เข้าไปท้าทายโต้วาทะกับพระพุทธองค์ในเรื่อง “อัตตา” (ตัวตน) เขาเชื่อในทฤษฎีตัวตนที่เที่ยงแท้ พระพุทธองค์ทรงใช้พระปัญญาอันลุ่มลึกค่อยๆ ซักถามและหักล้างทฤษฎีของสัจจกะด้วยเหตุผลตามหลัก “อนัตตา” จนสัจจกะจนมุมด้วยเหตุผลของตนเองและยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด
สัจจกนิครนถ์เป็นสัญลักษณ์ของ “มานะทิฏฐิ” คือความถือตัวและความยึดมั่นในความเห็นผิด เป็นตัวแทนของปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญา) ที่ยังไม่เข้าถึงสัจธรรม และถูกบดบังด้วยความเย่อหยิ่งในความรู้ของตน
ชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะของ “ปัญญา” () ที่แท้จริงเหนือปัญญาจอมปลอม พระคาถากล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นดั่ง คือ “ผู้รุ่งเรืองด้วยประทีปคือปัญญา” พระองค์ทรงเอาชนะด้วยการใช้ตรรกะและเหตุผลที่แยบคาย ค่อยๆ ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องในทิฏฐิของฝ่ายตรงข้าม โดยมิได้ใช้อารมณ์หรืออำนาจเข้าข่ม แต่ใช้ความจริงเป็นเครื่องตัดสิน
เราต้องรู้จักถ่อมตนและเปิดใจรับฟังเหตุผล ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้หรือความคิดเห็นของตนเองจนเกินไป “ปัญญา” ที่แท้จริงไม่ใช่การมีความรู้มาก แต่คือการรู้แจ้งในสัจธรรมตามความเป็นจริง และสามารถละวางความยึดมั่นใน “ตัวกู-ของกู” ได้ การเอาชนะสัจจกะจึงเป็นการเอาชนะ “อัตตา” ในเชิงปัญญานั่นเอง
ชัยชนะที่ 7 ทรมานนันโทปนันทนาคราช
นันโทปนันทนาคราชเป็นพญานาคผู้มีฤทธิ์มากและมีมิจฉาทิฏฐิ วันหนึ่งขณะที่พระพุทธองค์พร้อมด้วยหมู่สงฆ์สาวกเสด็จเหาะผ่านวิมานของตน พญานาคได้เกิดความโกรธและแสดงฤทธิ์ด้วยการเอาขนดกายพันรอบเขาพระสุเมรุแล้วพ่นพิษเพื่อบดบังเส้นทาง พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธบัญชาให้พระโมคคัลลานะเถระ ผู้เป็นเลิศทางด้านอิทธิฤทธิ์ ไปปราบพญานาค พระเถระได้แสดงฤทธิ์ที่เหนือกว่าในทุกๆ ด้าน จนในที่สุดนันโทปนันทนาคราชก็ยอมจำนนและละซึ่งมิจฉาทิฏฐิ
นันโทปนันทนาคราชเป็นตัวแทนของ “มิจฉาทิฏฐิ” ที่ประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจทางโลก เป็นความเห็นผิดที่เกิดจากความหลงมัวเมาในอำนาจและสมบัติของตนเอง
พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีที่เรียกว่า วิธีแห่งการแนะนำด้วยฤทธิ์ ทรงมอบหมายให้พระโมคคัลลานะเป็นผู้ดำเนินการ ชัยชนะนี้แสดงให้เห็นว่าบางครั้งการจะทำลายความเห็นผิดที่ฝังรากลึกและประกอบด้วยอำนาจ จำเป็นต้องใช้อำนาจที่เหนือกว่าเข้ากำราบเสียก่อน เพื่อเปิดทางให้ธรรมะสามารถเข้าถึงจิตใจได้ อย่างไรก็ตาม ฤทธิ์นั้นเป็นเพียงอุบาย มิใช่เป้าหมายสุดท้าย เป้าหมายที่แท้จริงคือการแก้ไขความเห็นผิดให้กลับมาถูกต้อง
ธรรมะนี้สอนให้รู้ว่า อำนาจทางโลกหรือความสำเร็จต่างๆ อาจกลายเป็นเครื่องบดบังปัญญาและทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิได้ การเอาชนะนันโทปนันทะคือการเอาชนะความหลงมัวเมาในอำนาจของตนเอง และตระหนักว่าอำนาจที่แท้จริงคืออำนาจแห่งคุณธรรมและปัญญาที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
ชัยชนะที่ 8 โปรดท้าวพกาพรหม
ท้าวพกาพรหมเป็นพรหมในพรหมโลกผู้มีอายุยืนยาวมาก จนเกิดความเห็นผิดที่เรียกว่า “สัสสตทิฏฐิ” คือเชื่อว่าตนเองและพรหมโลกนั้นเที่ยงแท้ ยั่งยืน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเป็นอมตะ พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณจึงเสด็จไปยังพรหมโลกเพื่อโปรด ท้าวพกาพรหมได้แสดงความยึดมั่นในทิฏฐิของตน พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมหักล้างความเห็นผิดนั้น และทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ด้วยการซ่อนพระวรกายจนพรหมทั้งหลายหาไม่พบ เพื่อทำลายความยึดมั่นในอำนาจของท้าวพกาพรหม สุดท้ายพระองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของภพภูมิต่างๆ จนท้าวพกาพรหมละจากความเห็นผิดได้
ท้าวพกาพรหมเป็นตัวแทนของ “สัสสตทิฏฐิ” หรือความเห็นว่าเที่ยง ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิในระดับปรมัตถ์ที่ละเอียดและลึกซึ้งที่สุด เป็นความยึดมั่นในภพ ในสภาวะที่ดูเหมือนจะดีเลิศและยั่งยืน
พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีโอสถคือพระญาณ พระญาณในที่นี้คือความรู้แจ้งในสัจธรรมแห่งไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ซึ่งเป็นยาขนานเอกที่ใช้รักษาโรคคือทิฏฐิทั้งปวง การเอาชนะท้าวพกาพรหมจึงเป็นชัยชนะในระดับสูงสุดทางปัญญา
ชัยชนะครั้งสุดท้ายนี้สอนให้เราตรวจสอบความเชื่อและความยึดมั่นที่ลึกที่สุดในใจ แม้แต่ความสุขหรือสภาวะทางจิตที่ประณีตก็ยังคงตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ การยึดมั่นในสิ่งใดก็ตามว่าเที่ยงแท้ล้วนเป็นความเห็นผิด การเจริญปัญญาเพื่อเห็นแจ้งในความจริงข้อนี้จึงเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นที่แท้จริง
ชัยชนะทั้งแปดประการนี้มิได้เรียงร้อยกันอย่างบังเอิญ แต่มีลักษณะเป็น “หลักสูตรการศึกษาทางจิตวิญญาณ” ที่มีลำดับขั้นตอน เริ่มต้นจากการต่อสู้กับกิเลสพื้นฐานภายในตนเอง (มาร), ก้าวไปสู่การรับมือกับความก้าวร้าวรุนแรงในรูปแบบต่างๆ (อาฬวกยักษ์, นาฬาคิรี, องคุลิมาล), จากนั้นเป็นการเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ละเอียดอ่อนขึ้นในทางสังคมและทางปัญญา (นางจิญจาฯ, สัจจกะ), และปิดท้ายด้วยการแก้ไขความเห็นผิดในระดับปรมัตถ์ (นันโทปนันทะ, พกาพรหม) บทสวดพาหุงมหากาจึงเป็นแผนที่ที่สมบูรณ์สำหรับการเดินทางทางจิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติธรรม
ติดตาม The Thaiger บน Google News: