สรุปครบ เม พรีมายา VS คลินิก เกิดอะไรขึ้น? ปมฝากหุ้น-ฮุบธุรกิจ เพื่อนสนิทหักหลัง

คลินิกคู่กรณีโต้ ‘เม พรีมายา’ ปมอ้างถูกเพื่อนสนิทฮุบบริษัท ชี้ อีกฝ่ายเสนอขายหุ้นเอง-ลาออกจากกรรมการ ล่าสุด อยู่ระหว่างดำเนินคดี เจ้าตัวสวนกลับ แค่ฝากหุ้นไว้ แต่กลับถูกหักหลัง
จากกรณีที่ เม พรีมายา หรือ พิชญ์นรี ตันติวิทย์ CEO สาวแบรนด์ดัง ออกมาแชร์ประสบการณ์ช้ำเคยฝากหุ้นไว้กับคนสนิท เนื่องจากเจอปัญหาใหญ่ในชีวิต จึงต้องยอมถอนตัวออกจากทุกบริษัทที่ถือหุ้นอยู่เพื่อให้กิจการเดินต่อไปได้ แต่สุดท้ายเธออ้างว่าฮุบบริษัทจากคนสนิท จนเป็นบาดแผลทุกวันนี้ รู้สึกเจ็บจนไม่กล้าไว้ใจใครอีก และหวาดระแวงทุกคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิต
ล่าสุด เดอร์มาทีจ เอสเธติคส์ ออกแถลงการณ์การโต้กลับอย่างเป็นทางการผ่านเฟซบุ๊ก Dermatige Aesthetics ระบุว่า “จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางโซเชียลมีเดีย คลินิกฯจึงขอออกแถลงการณ์ ณ วันที่ 22 กันยายน 2568 (พร้อมแนบแถลงการณ์ฉบับลายลักษณ์อักษรตามที่ปรากฏนี้)
แถลงการณ์ชี้แจงความจริง
จากกรณีพาดพิงทางสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆของบุคคล(อินฟลูเลนเซอร์ท่านหนึ่ง) ซึ่งสร้างผลกระทบให้เกิดความเข้าใจผิดบิดเบือนความจริงทำให้ทางแบรนด์คลินิก Dermatige Aesthetics (เดอร์มาทีจ เอสเธติคส์) เสียหายโดยอยู่ระหว่างดำเนินคดีอาญาและอื่น ๆ ซึ่งศาลฯ มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีมีมูลไปแล้ว 1 คดีจากการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายก่อนนี้ แต่กลับให้ข้อมูลเท็จบิดเบือนทำให้แบรนด์คลินิกตลอดจนผู้เกี่ยวข้องและบริษัทฯเดือดร้อนเสียหายอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายมุ่งหมายหาประโยชน์มิชอบจากการกระทำดังกล่าว
จึงขอออกแถลงการณ์เพื่อยืนยันปฏิเสธข้อมูลเท็จดังกล่าวทั้งสิ้น พร้อมขอชี้แจงความบริสุทธิ์ในครั้งนี้ เนื่องจากช่วงปี 2566 ขณะยังเป็นแบรนด์คลินิกเดิมนั้นบุคคลดังกล่าวซึ่งร่วมก่อตั้งนั้นเกิดปัญหาจากปัญหาส่วนของตัวบุคคลดังกล่าวเองจนเป็นข่าวเสียหายของบุคคลนั้น (ซึ่งสามารถตรวจสอบข่าวได้ตามที่ปรากฏทางโซเชียลมีเดียต่างๆ) จากเหตุดังกล่าวมีผู้คนต่างๆเข้าใจผิดทำให้ยอดขายตกลูกค้าไม่มาใช้บริการเนื่องจากความเสื่อมเสียชื่อเสียงดังกล่าวของบุคคลดังกล่าว ซึ่งส่งผลชัดเจนในสาขาที่เกิดขึ้นทำให้ยอดตกต่ำรายได้หดหายเงินไม่พอกับค่าใช้ต่าง ๆ จนสุดท้ายต้องปิดกิจการสาขาบางสาขา
ต่อมาบุคคลดังกล่าวจึงเสนอขายหุ้นให้ทั้งหมดผู้ถือหุ้นที่เหลือพร้อมทั้งลาออกจากการเป็นกรรมการในขณะประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นนั้นซึ่งขณะนั้นบริษัทฯและกิจการไม่ได้มีผลประกอบการที่ดีนักตลอดจนเกิดสภาวะปัญหาต่างๆตามที่เรียนข้างต้น จึงยุติกิจการ พริมยา คลินิก แบรนด์คลินิกเดิม (ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากทางหน่วยงานราชการต่างๆ)
โดยผู้ถือหุ้นและกรรมการเดิมที่ซื้อหุ้นจากบุคคลนั้นแล้ว จึงรีบเข้าแก้วิกฤติปัญหาก่อตั้งสร้างแบรนด์ใหม่ในนามแบรนด์คลินิก Dermatige Aesthetics (เดอร์มาทีจ เอสเธติคส์) จนถึงปัจจุบันและมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกิจการเครือร่วมพันธมิตรธุรกิจดูแลแบรนด์ดังกล่าวร่วมกันเพื่อดูแลลูกค้าในแต่ละสาขา โดยไม่มีบุคคลดังกล่าวร่วมก่อตั้งหรือแก้ไขเผชิญวิกฤตปัญหาตลอดจนไม่ได้ร่วมบริหารแต่อย่างใด
นอกจากนี้บุคคลดังกล่าวได้พยายามกระทำการให้ทางแบรนด์คลินิกรวมถึงผู้เกี่ยวข้องตลอดจนทีมบริหารเดือดร้อนเสียหายหลายครั้งรวมถึงแจ้งเท็จต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งได้มีการเข้าชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานแล้ว ตลอดจนต่อมาถูกกระทำการต่าง ๆหลายครั้งให้ได้รับความเสียหายอย่างมาก จนไม่อาจวางเฉยได้จึงฟ้องคดีต่อศาลตามที่แถลงการณ์ข้างต้น และได้รับความเมตตาสถิตซึ่งความยุติธรรมในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมีคำสั่งประทับรับฟ้องขณะนี้มีผลออกมาแล้ว 1 คดีให้มีคำสั่งประทับรับฟ้อง (เนื่องจากที่เป็นคดีความระหว่างกันในขณะนี้ จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ทั้งหมดได้เนื่องจากจะเป็นการก้าวล่วงฯ และไม่เหมาะสม เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมในหลายๆคดี)
ดังนี้จึงขอแถลงการณ์เพื่อชี้แจงป้องกันความเสียหายซึ่งอาจเกิดขึ้นลุกลามจากความเท็จที่บิดเบือนทั้งสิ้น รวมถึงหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่บุคคลดังกล่าวนำสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นอยู่ระหว่างตรวจสอบ อีกทั้งหลักฐานที่อ้างว่าเป็นเอกสารคลินิกก็ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นและแตกต่างกับเอกสารฉบับจริงรวมถึงที่นำส่งศาลในการสืบพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องอย่างเป็นพิรุธ
ทางคลินิกขอยืนยันว่า บุคคลดังกล่าวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคลินิกแต่อย่างใด และเหตุที่ออกแถลงการณ์เบื้องต้นนี้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์พร้อมย้ำเตือนไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือหลงเชื่อข้อมูลเท็จดังกล่าว ในการนี้ขอสงวนสิทธิ์ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อความเสียหายอันพึงมีทั้งสิ้นทั้งปวง และขอความเห็นใจอย่าฟังความข้างเดียว (พร้อมทั้งข้อมูลตรวจสอบที่อ้างถึงตามแถลงการณ์นี้นั้นประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ ต่างกับที่ปรากฏอ้างฝ่ายเดียวที่อยู่ในโซเชียลขณะนี้)
ทางคลินิกฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเข้าใจในมุมมองของทุกฝ่ายและรับข้อมูลอย่างมีสติเพื่อไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่ประสงค์ดี พร้อมขอฝากข้อคิดที่ยึดถือมั่นของคลินิกต่อเหตุการณ์นี้ในเรื่องความจริงคือ “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ”

ต่อมา ชาวเน็ตแนบภาพขณะที่ เม พรีมายา ยืนอยู่หน้าคลินิกซึ่งเป็นการทำคลิปส่องธุรกิจ พร้อมสอบถามว่า “ถ้าไม่เกี่ยวข้องแล้วจริงๆ ทำไม 26/11/2024 คุณเมย์ยังลงคลิปพาไปส่องอีกหนึ่งธุรกิจของคุณเมย์อยู่เลยอ่า ถ้าแบบนั้น คลินิกน่าจะออกมาพูดมั้ยอะ ว่าคุณเมย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง สงสัย?”
ฝั่ง เดอร์มาทีจ เอสเธติคส์ ออกมาตอบกลับว่า “ขออนุญาตชี้แจงว่าในส่วนคลิปดังกล่าวมีการดำเนินคดีและมีผลตามที่แถลงการณ์ข้างต้นที่ได้อ่านกันนะคะ ทั้งนี้ขอยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และเอกสารหลักฐานการซื้อขายหุ้นและลาออกจากกรรมการมีปรากฏในศาลเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยเหตุผลทางกฎหมายและมีคดีระหว่างกันจึงไม่ได้นำมาเผยแพร่
ส่วนการเปลี่ยนแปลงกรรมการและผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบได้จากทางหน่วยงานราชการ และในส่วนประเด็นอื่น ๆ ในเรื่องเอกสารต่าง ๆ ขอยืนยันตามแถลงการณ์และถือเป็นส่วนหนึ่งของการชี้แจงนี้ รวมถึงสงวนสิทธิในการดำเนินคดีข้อมูลเท็จต่าง ๆ ที่ตรวจสอบและอยู่ระหว่างตรวจสอบของบุคคลท่านนี้ที่ทำให้คลินิกเสียหายค่ะหวังว่าข้อความชี้แจงนี้จะเป็นประโยชน์ชัดแจ้งในความจริงต่อผู้ที่สนใจและสอบถามในประเด็นนี้นะคะ ด้วยความเคารพและขอชี้แจงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดกระทบต่อคลินิก ขอบพระคุณค่ะ แอดมินและทีมงาน”

หลังจากที่ทาง เดอร์มาทีจ เอสเธติคส์ ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ ฝั่ง เม พรีมายา ได้โพสต์ข้อมูลในฝั่งของตนเองผ่านเฟซบุ๊ก Phitnari Tantiwit ระบุว่า “คลินิกที่ทุกคนเห็นสองชื่อ จริง ๆ แล้วคือคลินิกเดียวกัน เป็นบริษัทที่เมเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง แต่มีการเปลี่ยนชื่อและรีแบรนด์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดและให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ด้วยดี (อันเนื่องมาจาก crisis ของเมในตอนนั้น) โดยยังเป็นบริษัทเดิม
หลังจากรีแบรนด์ในช่วงปีที่ผ่านมา เมในฐานะผู้ถือหุ้น ได้พยายามขอตรวจสอบเอกสารทางบัญชีและการเงินของบริษัทตามสิทธิ์ แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ ทำให้เมไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทที่ตนเองร่วมสร้างขึ้นมาได้
เมื่อเมแจ้งความประสงค์ขอกลับเข้าถือหุ้นตามเดิม กลับได้รับข้อเสนอเงื่อนไขดังนี้
1. ต้องให้บุคคลอื่นถือหุ้นแทน โดยไม่สามารถออกหน้าได้
2. หากบริหารต่อ จะได้หุ้นคืน 25% เฉพาะสาขาเดิม แต่ไม่สามารถออกหน้าได้ และไม่นับรวมสาขาใหม่ในอนาคต
3. หากไม่บริหารต่อ สัดส่วนหุ้นจะเหลือเพียง 12.52% โดยได้ทุกสาขา แต่ไม่สามารถออกหน้าได้
จากเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้สิทธิในการถือหุ้นของเมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่เมในฐานะผู้ถือหุ้นและผู้ร่วมก่อตั้ง กำลังขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของบริษัท สิ่งที่เล่ามานี้เป็นเพียงมุมมองและประสบการณ์ส่วนตัวของเม ซึ่งอยู่ระหว่างการขอความชัดเจนทางกฎหมายและข้อเท็จจริง
เมเพียงอยากบอกเล่าเรื่องราวในมุมของเม และตั้งคำถามถึงหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการทำธุรกิจร่วมกับพาร์ทเนอร์ว่าควรเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาถึงผู้หญิงคนนี้ นี่จะเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในการเติบโตของเมที่จะไม่มีวันลืมเลยค่ะ (รายละเอียดเพิ่มเติม เมขอแปะไว้ในคอมเมนต์)
พร้อมกันนั้นเจ้าตัวชี้แจงว่า “ตั้งแต่วันที่ 6 กันยา 2567 จนถึงปัจจุบัน บัญชีผู้ใช้งานของเม และผู้ที่ให้ถือหุ้นแทนเม ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มสื่อสารสำคัญของบริษัทได้อีกต่อไป เช่น กลุ่มบริษัท, กลุ่มบัญชี , การเงินต่าง ๆ” และ “เดือนนึง รายได้มากถึง40-45 ล้าน (ตัวเลขที่เมเห็นล่าสุด) ก่อนที่จะถูกเตะออกจากทุกกลุ่ม ทุกช่องทาง #สิงหาถ้าจำไม่ผิดก็เกือบ 50 ล้าน และ ไม่รวมสาขาที่เพิ่มมาอีกหลายสาขา ตอนนี้เมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบริษัที่สร้างมา”
ทั้งนี้ เธอได้โพสต์ระบายความในใจหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “สิ่งที่บาดลึกและทรมานยิ่งกว่าคือ การถูกทำให้ ‘ไร้เสียง’ ในงานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหน้าที่ของเรา จากที่เคยเป็นคนลงแรงทุกขั้นตอน กลับถูกตัดสิทธิ์ ไม่ให้มีตัวตน ไม่ให้มีส่วนร่วม เมยอมจำนน… ไม่ใช่เพราะอยากยอม แต่เพราะไม่อยากให้ธุรกิจที่เราสร้างมาเสียหายไปมากกว่านี้ ทั้งยังรู้ดีว่าตอนนั้นชื่อเสียงของเรากำลังถูกมองในแง่ร้าย
เมเชื่อเขาทุกคำ ปล่อยให้เขาชี้ทางทุกอย่าง ความไว้ใจที่เราและเขาร่วมสร้างกันมาตั้งแต่ศูนย์… คงจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเราในวันหนึ่ง ไม่คิดเลยจริง ๆ ค่ะ ว่าตัวเองจะได้นับบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่นี้มันแตกสลายไปหมด
ขอให้เรื่องราวเลวร้ายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ตั้งแต่เมเจอcrisis ยอมรับว่าเครียดมากมาก ๆ ไม่ว่าจะกับปัญหา และทำให้เพื่อนๆและหุ้นส่วนไม่สบายใจ กลัวจะกระทบต่อธุรกิจ เมจึงยอมฝากหุ้นไว้กับหุ้นส่วนทุกคนตามที่ทุกคนขอเพื่อความสบายใจและผลประโยชน์ของบริษัท
ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่ารู้สึกแย่มาก ๆ ที่ดูเป็นตัวปัญหา ถูกรังเกียจและรู้สึกเสียใจมากเช่นกันที่ต้องฟังคำเหล่านี้จากคนที่เรารักและไว้ใจ มันเจ็บทุกคำพูดที่ให้เราลบรูปที่ถ่ายด้วยกัน ไม่ลงสื่อด้วยกัน ในวันที่เกิดปัญหารู้สึกไม่เหลือใครจริง ๆ
ตั้งแต่วันที่เมตอบตกลงเซ็นโอนหุ้น จำได้เลยว่าเราร้องไห้ไปด้วยแล้วคุยไปด้วย เพราะมันคือธุรกิจที่เรารักจริง ๆ แต่ไม่มีทางเลือกอื่นให้เมเลือก ทุกอย่างมันรีบ ๆ ไปหมดเลยไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน แต่วันนั้นด้วยความไว้ใจที่เริ่มด้วยกันมาตั้งแต่ศูนย์ก็คิดว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาในอนาคต และสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกลับเกิดขึ้นจริง ๆ..”

ต่อมา เธอได้โพสต์แถลงการณ์จากคลินิก พร้อมอธิบายว่า “ความจริงเป็นสัจจะ และคงทนตลอดไปค่ะ เมย์ ได้เป็นหุ้นส่วนในการก่อตั้งบริษัท พริมยา คลินิก จำกัด ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ดีเอ็มที เมดิคอล จำกัด ร่วมกันกับ หมอกลาง , หมอต่อ และยาย่า ในอัตราส่วนผู้ถือหุ้น หมอกลาง 10% หมอต่อ30% ยาย่า 30% เมย์ 30% รวม 4 คน
โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า หากได้ผลประโยชน์จากการประกอบคลินิกเสริมความงามจะนำเงินส่วนแบ่งมาแบ่งปันตามสัดส่วนของผู้ถือหุ้น โดยบริษัทฯดังกล่าว มีเมย์เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท พริมยา คลินิก จำกัด โดยใช้บ้านของเมย์ เป็นที่ทำการสำนักงานใหญ่ของบริษัทเรื่อยมา โดยระยะแรกบริษัทมีผลกำไรและได้นำผลกำไรมาแบ่งกันเฉลี่ย 2-3 เดือนจะได้ส่วนแบ่งแต่ละคนประมาณ 2-3 ล้านบาทตลอดมา ได้เพิ่มหมอกลางเป็นกรรมการและแบ่งหุ้นให้ คนละ5% จึงทำให้บริษัทมีอัตราส่วนผู้ถือหุ้นคนละ 25 %
ต่อมา เมย์มีปัญหาด้วยคดีความ หุ้นส่วนทั้งสามของเมย์ เกรงว่าจะมีผลกระทบกับบริษัทฯ หุ้นส่วนทั้งสามของเมย์ จึงได้ให้เมย์ ออกจากการเป็นกรรมการ และออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ส่วนหุ้นของเมย์ ให้กระจายใส่ชื่อหุ้นส่วนทั้งสาม ด้วยความเชื่อใจ เมย์จึงทำตามคำแนะนำของหุ้นส่วนทั้งสาม
เมย์ ออกจากการเป็นกรรมการ และออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยหุ้นส่วนทั้งสามของเมย์ ได้ทำหนังสือมีข้อความระบุว่า เมย์ขายหุ้นให้กับหุ้นส่วนทั้งสามของเมย์และได้รับเงินค่าขายหุ้นจากหุ้นส่วนทั้งสามไปแล้ว ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เมย์ไม่ได้ขายหุ้นของเมย์ให้กับหุ้นส่วนทั้งสามและเมย์ไม่ได้รับเงินค่าขายหุ้นจากหุ้นส่วนทั้งสามแต่อย่างใด
แต่หลังจากคดีของเมย์ได้เสร็จสิ้นแล้ว เมย์จึงได้แจ้งให้หุ้นส่วนทั้งสามคืนหุ้นของเมย์ที่ฝากไว้กับหุ้นส่วนทั้งสามกลับคืนมาให้เมย์ หุ้นส่วนทั้งสามจึงได้โอนหุ้นกลับคือให้เมย์ แต่เมย์ต้องการให้โอนใส่ชื่อญาติของเมย์แทน หุ้นส่วนทั้งสามจึงได้โอนหุ้นใสชื่อญาติเมย์จนครบจำนวน 25 % เช่นเดิม ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในการจ่ายผลประโยชน์ฯนั้น บริษัทฯ โดยบุคคลทั้งสามได้การจ่ายให้กับเมย์ตามปกติเช่นเดิม จนถึงเดือนมิถุนายน 2567
แต่ในระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2567 หุ้นส่วนทั้งสามไม่ได้นำผลประโยชน์ฯ มาแบ่งให้กับเมย์ ตามข้อตกลงและตามวิธีที่เคยปฏิบัติต่อกันระหว่างเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท
เมย์ ญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น และทนายความ กับหุ้นส่วนทั้งสามและทนายความ จึงไปร่วมประชุมที่ร้านอาหารเขตวังทองหลาง จำนวน 2-3 ครั้ง และมีการประสานงานระหว่างทนายความของทั้งสองฝ่ายอีก 2 ครั้ง โดยในแต่การประชุมทุกครั้งเมย์ และญาติเมย์ ได้สอบถามหุ้นส่วนทั้งสามว่า ทำไมถึงต้องเตะหรือลบเมย์ ออกจากกลุ่มรับรู้รายได้ของบริษัท และเหตุใดถึงไม่มีการนำเงินผลประโยชน์ฯ มาแบ่งให้แก่เมย์ ตามที่เคยตกลงและปฏิบัติต่อกันมา
หุ้นส่วนทั้งสามได้แจ้งในการประชุมทุกครั้งว่า หุ้นส่วนทั้งสามได้นำผลประโยชน์ฯ ไปใช้ในกิจการของบริษัทใหม่ โดยบริษัทฯใหม่ มีการใช้ชื่อทางการค้าและเครื่องหมายทางการค้าเหมือนกับบริษัทเดิมทุกประการ แต่บริษัทใหม่นี้จะไม่ให้เมย์ ถือหุ้นส่วนจำนวน 25 % ซึ่งเงื่อนไขของหุ้นส่วนทั้งสามเสนอมานั้น เมย์และญาติเมย์ไม่ยอมรับและตกลงด้วย
ซึ่งจากการประชุมร่วมกันระหว่างเมย์ ญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน กับหุ้นส่วนทั้งสาม กรรมการของบริษัทบางคนยอมรับข้อเท็จจริงว่า ได้มีการนำเงินผลประโยชน์ฯ ไปทำการตกแต่งและซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับบริษัทใหม่ ที่หุ้นส่วนทั้งสามได้ไปทำการจดทะเบียนตั้งบริษัทเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่หุ้นส่วนทั้งสามจะนำเงินมาคืนให้กับบริษัท เมย์และญาติเมย์จึงมีการพูดถึงเรื่องว่า หากหุ้นส่วนทั้งสาม จะไปเปิดบริษัทใหม่ก็ไม่เป็นไร แต่ให้นำเงินผลประโยชน์ฯ หรือเงินกำไรมาแบ่งกันให้ยุติธรรม ส่วนหุ้นที่เหลือเมย์และญาติเมย์ ยินดีที่จะขายให้กับหุ้นส่วนทั้งสาม หรือจะให้หุ้นส่วนทั้งสามเสนอขายหุ้นมาให้กับเมย์และญาติเมย์ก็ได้ แต่หุ้นส่วนทั้งสามไม่ยอม เพราะหุ้นส่วนทั้งสามต้องการใช้ชื่อและเครื่องหมายทางการค้า ของบริษัทเก่าใช้ประกอบกิจการและทำมาหากินต่อไป
ทางเมย์และญาติเมย์จึงแจ้งว่า เมย์จะเสนอเกี่ยวกับราคาที่จะเสนอขายหุ้นให้กับหุ้นส่วนทั้งสาม แต่ในระหว่างนี้ให้นำเงินผลประโยชน์ฯ ที่เกิดขึ้นในระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน 2567 มาแบ่งให้กับเมย์ก่อน และให้นำเมย์และญาติเมย์กลับเข้ากลุ่มรับรู้รายได้ทางไลน์ของบริษัทฯ เช่นเดิม
นอกจากนี้เมย์และญาติเมย์ได้แจ้งต่อหุ้นส่วนทั้งสามว่า เมย์และญาติเมย์ต้องการของบการเงินและบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทและเอกสารต่าง ๆ ของบริษัทนั้น โดยหุ้นส่วนทั้งสามตกลงรับปากว่าจะให้
แต่จนถึงปัจจุบันนี้หุ้นส่วนทั้งสามไม่เคยนำงบการเงินและบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทและเอกสารต่าง ๆ ของบริษัทมาให้เมย์หรือญาติเมย์เลย นับตั้งแต่วันประชุมจนถึงปัจจุบัน ณ วันโพส หุ้นส่วนทั้งสามก็ไม่ได้นำเมย์และญาติเมย์ให้เข้ากลุ่มรับรู้รายได้อีกเลย และเมื่อเมย์และญาติเมย์เสนอราคาหุ้นจำนวน 25% ที่ต้องการขายให้กับหุ้นส่วนทั้งสาม ปรากฏว่าหุ้นส่วนทั้งสามก็ได้ให้การปฏิเสธว่า หุ้นส่วนทั้งสามจะไม่ซื้อหุ้นของเมย์และญาติเมย์เช่นเดียวกัน และท้าว่า จะทำอะไรก็ทำ อยากจะได้ให้ไปฟ้องเอา
จนเมย์ ได้แจ้งให้ญาติเมย์ แจ้งให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามแจ้งไปยังบริษัท และหุ้นส่วนทั้งสาม ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทว่า ต้องการเข้าไปตรวจสอบบัญชีของบริษัทและงบการเงินของบริษัท แต่บริษัทฯและหุ้นส่วนทั้งสาม ได้ให้การปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงตลอดมา
โดยหุ้นส่วนทั้งสามได้ท้าให้เมย์และญาติเมย์ไปใช้สิทธิ์ทางศาลหรือให้ไปฟ้องเอาเอง โดยอ้างว่าในทางบัญชียังไม่มีการแบ่งผลกำไรกันเลยตั้งแต่ตั้งบริษัทกันมา แต่ไม่ยอมพูดถึงเงินผลประโยชน์ฯที่เคยแบ่งกันมาตลอด เมย์และญาติเมย์เห็นว่า ในการที่ส่วนการแบ่งผลประโยชน์ฯได้มีการแบ่งกันมาโดยตลอด เมย์และญาติเมย์จึงเห็นว่าหุ้นส่วนทั้งสามซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ไม่มีเจตนาที่จะนำเงินผลประโยชน์มาแบ่งให้กับเมย์และญาติเมย์
ญาติเมย์ จึงได้ให้ทนายความทำหนังสือบอกกล่าวแจ้งไปยังบริษัท และหุ้นส่วนทั้งสามว่าจะเข้าไปที่บริษัท เพื่อทำการขอตรวจสอบเอกสารทางบัญชีและงบการเงินของบริษัท เมื่อถึงวันนัดตามหนังสือบอกกล่าวขอตรวจสอบเอกสารทางบัญชีและงบการเงินของบริษัท ญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน เมย์ สามีเมย์ และทีมทนายร่วมเดินทางไปที่ทำการบริษัท เพื่อทำการตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับงบการเงินและบัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัท ปรากฏว่าเมื่อเดินทางไปถึงที่ทำการบริษัท ฯ ทางหุ้นส่วนทั้งสาม ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทไม่อยู่ คงอยู่แต่ผู้จัดการของสาขาเข้ามาทักทาย และแจ้งว่าหุ้นส่วนทั้งสามติดธุระไม่อยู่
ญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน เมย์ สามีเมย์ และทีมทนาย ได้แจ้งให้ผู้จัดการทำการติดต่อไปยังหุ้นส่วนทั้งสาม หรือ ทนายความซึ่งเคยติดต่อและมีการพูดคุยและมีการเข้าร่วมประชุมกันมาก่อนหน้าวันเกิดเหตุ ให้นำเอกสารหรืองบดุลงบการเงินที่คงมีอยู่และสามารถพอตรวจสอบได้มาให้เมย์และญาติเมย์ ทำการตรวจสอบไปพลางก่อน เพราะเหตุว่าจะต้องใช้เวลาตรวจสอบเอกสารดังกล่าวเป็นเวลาหลายวัน จะได้ไม่เป็นการรบกวนบริษัทหลายครั้ง ต่อมาผู้จัดการของบริษัทได้เชิญญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน เมย์ สามีเมย์ และทีมทนาย ขึ้นไปบนชั้น 5 เพื่อไปนั่งรออยู่ที่ห้องประชุมชั้น 5 ของที่ทำการบริษัท ในระหว่างนั้นได้มีแม่บ้านนำน้ำมาเสริฟต้อนรับโดยญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน เมย์ สามีเมย์ และทีมทนายนั่งรออยู่ในห้อง รออยู่นาน
ต่อมาประมาณสักครึ่งชั่วโมง ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลโชคชัย 2 นาย แต่งกายในเครื่องแบบได้เดินทางมาที่ทำการบริษัทและมาที่ห้องประชุมชั้น 5 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งกับญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน เมย์ สามีเมย์ และทีมทนายว่า ได้รับแจ้งว่ามีบุคคลมาทำการบุกรุกที่ทำการของบริษัท ทำลายทรัพย์สินของบริษัท ฯ โดยตำรวจทั้ง 2 นายเดินทางมาเพื่อระงับเหตุและทำการจับกุม หากมีเหตุการณ์บุกรุกตามที่ได้รับแจ้งทางศูนย์วิทยุจริง
ญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน เมย์ สามีเมย์ และทีมทนาย ได้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นายว่า วันนี้มาทำการขอตรวจสอบเอกสารตามหนังสือบอกข่าวทวงถามที่มีการบอกกล่าวมาล่วงหน้าแล้ว และได้มีการนำหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบดู เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางกลับไป โดยในขณะเกิดเหตุมีผู้จัดการของบริษัทได้แอบอัดเสียงเอาไว้ด้วย โดยญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนปัจจุบัน เมย์ สามีเมย์ และทีมทนาย ไม่ได้ยินยอม ซึ่งต่อมาบริษัท ฯ ได้ทำการยื่นฟ้องเมย์ สามีเมย์ และทนายความ เป็นคดีต่อศาล ปัจจุบันอยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
ในวันเกิดเหตุดังกล่าว ญาติเมย์ ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลโชคชัย ๔ เพื่อแจ้งความกับหุ้นส่วนทั้งสาม กับผู้จัดการบริษัท ฯ แต่พนักงานสอบสวนเวร แจ้งว่า เหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปที่บริษัทฯนั้น ไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใดเป็นผู้แจ้ง และจากการตรวจสอบไม่มีการรับแจ้งความในเรื่องนี้แต่อย่างใด และยังไม่มีการลงเลขรับแจ้งความร้องทุกข์ไว้ จึงทำได้แต่เพียงลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ในส่วนของเมย์ ในวันรุ่งขึ้น เมย์ได้มีการไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับหุ้นส่วนทั้งสามว่า ร่วมกันทำการยักยอกเงินผลประโยชน์หรือเงินส่วนแบ่งของเมย์ ที่สถานีตำรวจนครบาลโชคชัย 4
หลังจากหุ้นส่วนทั้งสามทราบว่า เมย์ แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับหุ้นส่วนทั้งสาม บริษัท จึงมายื่นฟ้องเมย์ ในข้อหาพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่ศาลอาญา โดยศาลอาญาได้มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องไว้
และหมอต่อ และหมอกลาง ได้ยื่นฟ้อง เมย์ , สามีเมย์ และทนายความ ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียจำนวน 5,000,000 บาท โดยในคดีนี้อยู่ในระหว่างฟังคำสั่งว่า ศาลแขวงพระนครเหนือจะรับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่
ข้อเท็จจริงประมาณนี้ค่ะ
#คำชี้แจงข้อเท็จจริง ตามที่บริษัทและผู้บริหารได้เผยแพร่ข้อความชี้แจงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อันมีเนื้อหาทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบทบาทและสิทธิของเมย์นั้น เพื่อความเป็นธรรมและความชัดเจน เมย์จึงขอเรียนข้อเท็จจริงตามลำดับ ดังนี้
1. การก่อตั้งและการเป็นผู้ถือหุ้น
บริษัท พรีมยา คลินิก จำกัด ก่อตั้งขึ้นโดยมีเมย์เป็นผู้ริเริ่ม และใช้บ้านพักของเมย์เป็นที่ทำการสำนักงานใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ดีเอ็มที เมดิคอล จำกัด ร่วมกันกับ หมอกลาง , หมอต่อ และยาย่า ในอัตราส่วนผู้ถือหุ้น หมอกลาง 10% หมอต่อ30% ยาย่า 30% เมย์ 30% รวม 4 คน
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดีเอ็มที เมดิคอล จำกัด โดยมีผู้ถือหุ้นทั้งหมด ๔ คน ได้แก่ คุณเมย์, หมอกลาง, หมอต่อ และคุณยาย่า ถือหุ้นคนละ 25% เท่า ๆ กัน มีข้อตกลงร่วมกันว่า รายได้หรือผลประโยชน์จากการดำเนินกิจการคลินิก จะนำมาแบ่งปันในสัดส่วนผู้ถือหุ้นเท่า ๆ กัน
2. การที่เมย์ไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบางช่วงบางเวลา ไม่ได้เกิดจากเจตนาที่เมย์ต้องการขายหุ้น แต่เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท
ภายหลังเมย์ประสบมีคดีความ หุ้นส่วนทั้งสามเกรงว่าจะกระทบต่อบริษัท จึงขอให้เมย์ลาออกจากกรรมการ และให้เมย์ออกจากการมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น โดยหุ้นส่วนทั้งสามได้จัดการให้เมย์โอนหุ้นทั้งหมดไปให้หุ้นส่วนทั้งสาม
เมย์เชื่อใจหุ้นส่วน จึงยอมทำตาม โดยหุ้นส่วนทั้งสามมีการทำหนังสือระบุว่า “เมย์ขายหุ้นและเมย์ได้รับเงินจากการขายหุ้นแล้ว” ทั้งที่ ความจริงเมย์ไม่เคยขายหุ้น และไม่เคยได้รับเงินค่าหุ้นใด ๆ เมื่อคดีสิ้นสุด หุ้นส่วนทั้งสามจึงโอนหุ้นคืนให้กับ ญาติของคุณเมย์ ในสัดส่วนเดิม 25%
3. การแบ่งผลประโยชน์ที่ผ่านมาตามข้อตกลงและเคยปฏิบัติต่อกันมาโดยตลอด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีผลกำไรและนำมาแบ่งให้ผู้ถือหุ้นทุกคนอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยทุก 2–3 เดือน ผู้ถือหุ้นแต่ละคนได้รับส่วนแบ่ง 2–3 ล้านบาท แต่ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม–กันยายน 2567 หุ้นส่วนทั้งสามกลับไม่นำผลประโยชน์มาแบ่งตามที่ตกลงและปฏิบัติกันมา
4. การประชุมหารือและข้อเสนอที่ไม่เป็นธรรมต่อเมย์ จากหุ้นส่วนทั้งสาม
ญาติเมย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น และทนายความ ได้เข้าประชุมหารือกับหุ้นส่วนหลายครั้ง เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่ถูกตัดออกจากกลุ่มการรับรู้รายได้ทางไลน์ของบริษัท
หุ้นส่วนยอมรับว่า ได้นำเงินไปใช้กับ บริษัทใหม่ ที่ตั้งขึ้น โดยใช้ชื่อทางการค้าและเครื่องหมายการค้าเดียวกับบริษัทเดิม หุ้นส่วนเสนอให้เมย์ลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ 12.5 % ซึ่งเมย์ และญาติไม่อาจยอมรับได้
5. การขอตรวจสอบงบการเงินและเอกสารบริษัท เป็นการใช้สิทธิของญาติเมย์ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัทฯตามที่กฎหมายรับรอง
ญาติของเมย์ที่เป็นผู้ถือหุ้น ได้ทำหนังสือบอกกล่าวขอตรวจสอบเอกสารทางบัญชีและงบการเงิน ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นตามกฎหมาย (มาตรา 1137, 1206 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
เมื่อเดินทางไปยังบริษัทตามวันนัดหมาย กลับถูกปฏิเสธ และมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นการ “บุกรุก” ทั้งที่เป็นการใช้สิทธิอันชอบธรรม เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เมย์และญาติเมย์ เสียหายต่อชื่อเสียง ทั้งที่ดำเนินการโดยสุจริตและมีหนังสือแจ้งล่วงหน้า
6. การถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย หลังจากเมย์ใช้สิทธิติดตามเอาผลประโยชน์ที่เมย์ควรได้รับตามข้อตกลงและเคยปฏิบัติต่อกันมา หลังเมย์แจ้งความร้องทุกข์กรณี ถูกยักยอกเงินผลประโยชน์ บริษัทโดยหุ้นส่วนทั้งสาม กลับมายื่นฟ้องเมย์ในคดี พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ต่อศาลอาญา หมอต่อและหมอกลาง ยื่นฟ้องเมย์ สามีเมย์ และทนายความ ในข้อหา คดีหมิ่นประมาท และเรียกค่าเสียหายจำนวน 5 ล้านบาท ปัจจุบันคดีทั้งสองดังกล่าว อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล เมย์พร้อมพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรม
7. ข้อเท็จจริงเมย์ขอชี้แจงให้ประชาชนและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเข้าใจ
1.เมย์ไม่เคยขายหุ้นของตนเอง เพียงแต่ฝากไว้กับหุ้นส่วนทั้งสามในช่วงที่มีคดีความ และหุ้นได้ถูกโอนกลับคืนมาครบถ้วนแล้ว
2.สิทธิผู้ถือหุ้น 25% ตามกฎหมาย ของญาติเมย์ ย่อมมีสิทธิขอตรวจสอบบัญชีและงบการเงินของบริษัท แต่กลับถูกปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
3.การแบ่งผลประโยชน์เคยเกิดขึ้นจริง ต่อเนื่องตลอดหลายปี ซึ่งขัดกับคำกล่าวอ้างว่า “ไม่เคยมีการแบ่งผลประโยชน์” และอ้างว่า บริษัทฯประสบภาวะขาดทุน
4.การที่หุ้นส่วนไปเปิดบริษัทใหม่เป็นคนละนิติบุคคล โดยมีผู้ถือหุ้นคนละชุดกัน(บริษัทใหม่ไม่มีชื่อเมย์ หรือญาติเมย์เป็นผู้ถือหุ้นเลย) บริษัทใหม่มีบัญชีรับเงินรายได้ แยกต่างหากจากบริษัทเดิม แต่กลับใช้ชื่อและเครื่องหมายการค้าเดิม โดยมีการแยกรายได้แยกรายจ่ายกัน ย่อมก่อให้เกิดความสับสนแก่สาธารณชนและอาจกระทบสิทธิในทรัพย์สินทางการค้า ซึ่งในทางกฎหมายถือว่าเป็นคนละนิติบุคคลกัน
8. บทสรุป
เมย์ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ยืนยันว่า เมย์ไม่เคยคิดทำลายบริษัทที่ตนเองสร้างขึ้นมา เมย์เพียงต้องการให้การดำเนินกิจการเป็นไปอย่าง โปร่งใส เป็นธรรม และแบ่งปันผลประโยชน์ตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้ ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นควรได้รับการแก้ไขด้วยความสุจริต มิใช่การนำไปกล่าวหาหรือสร้างความเสียหายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ท้ายที่สุดนี้ เมย์ขอยืนยันว่า จะต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมด้วยความสุจริตใจ และหวังให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องครบถ้วน
ข้อความนี้มิได้มีเจตนาจะโต้เถียงหรือตอบโต้เพื่อทำลายชื่อเสียงใคร หากแต่เป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องสิทธิของเมย์และญาติเมย์ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทเดิม และเพื่อให้สาธารณชนเข้าใจความจริง”






อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เม พรีมายา แฉยับ ถูกเพื่อนฮุบบริษัทที่สร้างมากับมือ แต่ตอนนี้มีชื่อเสียง-ใช้ชีวิตหรู
- ‘เม พรีมายา’ รู้ตัวคนเบื้องหลังแล้ว รอเช็คบิล แย้มวิธีล้างแค้น
- ‘อิงฟ้า วราหะ’ ตอบข่าวเอี่ยว ‘พรีมายา’ ยันเป็นแค่พรีเซนเตอร์สินค้าในเครือ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: