พ่อแม่กุมขมับ ลูกวัย 10 ขวบ กดเปย์ทิปในติ๊กต็อก 4.6 ล้าน เร่งฟ้องขอเงินคืน

อุทาหรณ์คนเลี้ยงเด็ก เมื่อเด็กญี่ปุ่นวัย 10 ขวบ กดให้ทิปสตรีมเมอร์ในติ๊กต็อกไปกว่า 4.6 ล้านเยน ร้อนถึงพ่อแม่ต้องฟ้องแอปฯและแพลทฟอร์ม เพื่อขอเงินคืน
เกิดคดีสุดพิลึก เมื่อเด็กชายวัย 10 ขวบคนหนึ่งในเมืองเกียวโต ได้ยื่นฟ้องบริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทแม่ของแอปพลิเคชันดัง TikTok และบริษัท Apple Japan เพื่อเรียกเงินคืนกว่า 2.8 ล้านเยน (ราว 6.16 แสนบาท) หลังจากใช้เงินจำนวนมหาศาลไปกับระบบ “投げ銭” (นาเกะเซ็น) หรือการให้เงินสนับสนุนสตรีมเมอร์บนแอปฯ
คดีนี้ถูกยื่นฟ้องต่อศาลแขวงเกียวโตเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า เด็กชายคนดังกล่าวได้ใช้สมาร์ทโฟนของพี่ชายสองคนเพื่อซื้อ “เหรียญ” จำนวนมาก เพื่อใช้เป็นค่าสนับสนุนสตรีมเมอร์ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมของปีที่แล้ว
ตามคำฟ้องระบุว่า ยอดรวมการใช้จ่ายของเด็กชายในแอปพลิเคชันต่างๆ มีมูลค่าสูงถึง 4.6 ล้านเยน (ราว 10.1 ล้านบาท) โดยในจำนวนนี้เป็นยอดที่ใช้ไปกับ TikTok ถึง 3.7 ล้านเยน (ราว 8.14 แสนบาท)
เมื่อพ่อแม่ของเด็กชายทราบเรื่อง จึงได้ปรึกษาศูนย์ให้คำปรึกษาผู้บริโภค และยื่นคำร้องต่อบริษัท Apple ซึ่งสุดท้ายได้รับเงินคืนมาเพียงประมาณ 900,000 เยน (ราว 2 แสนบาท) เท่านั้น ส่วนบริษัทไบต์แดนซ์ ทางผู้แทนของเด็กชายได้ติดต่อเพื่อขอเงินคืนแล้ว แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับ
ตามกฎหมายแพ่งของญี่ปุ่น ระบุว่า สัญญาที่ผู้เยาว์ทำโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองสามารถยกเลิกได้ และแม้ในกรณีที่เด็กชายอาจจะปลอมแปลงอายุเป็นผู้ใหญ่เพื่อใช้บริการ ทนายความของเด็กชายก็ยังคงยืนยันว่า การที่บริษัทมีระบบตรวจสอบอายุที่ไม่เพียงพอ ทำให้การทำสัญญาดังกล่าวยังคงเป็นโมฆะและสามารถยกเลิกได้
ทนายความของเด็กชายกล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการ พวกเขามีความรับผิดชอบที่จะต้องตรวจสอบอายุอย่างรอบคอบ และควรจะคืนเงินให้สำหรับการใช้จ่ายจำนวนมากของเด็ก” ขณะที่บริษัทไบต์แดนซ์ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ โดยกล่าวว่า “ไม่มีเนื้อหาที่จะสามารถตอบได้”
อ้างอิง : news.yahoo.co.jp
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ชาวเน็ตเขมร แซะแรง ไทยใจดีแค่ฉากหน้า สูบผลประโยชน์ จากผู้ลี้ภัยเขมร
- ไวรัลดัง หนุ่มญี่ปุ่นวัย 23 เปิดตัวคบคุณย่าของเพื่อน อายุห่างกัน 60 ปี เผยหลงรักตั้งแต่แรกเห็น
- มือปืนกราดยิงโบสถ์สหรัฐฯ เด็กเสียชีวิต 2 ศพ บาดเจ็บรวม 17 ราย
ติดตาม The Thaiger บน Google News: