เปิดอาวุธเดียว คนจีนสู้กำแพงเซ็นเซอร์ หลังปิดข่าวสลด รถพุ่งชนนร.กว่า 30 ชีวิต

กำแพงเซ็นเซอร์จีน เมื่อโศกนาฏกรรมไล่ชนคน กลายเป็นเรื่องต้องห้าม และเสียงกระซิบในโลกออนไลน์ คือ อาวุธเดียวที่เหลืออยู่
ปลายเดือนที่แล้ว มีรายงานข่าวในจีนว่าเกิดเหตุรถยนต์พุ่งเข้าชนเด็กๆ บริเวณใกล้กับโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองของกรุงปักกิ่ง แต่แถลงการณ์ของตำรวจกลับมีความยาวเพียง 4 ประโยคระบุแค่ว่า คนขับรถชายวัย 35 ปี ได้ขับรถชนคนเดินเท้าเนื่องจาก “การควบคุมรถที่ไม่เหมาะสม” โดยในรายงานดังกล่าวนั้นไม่ได้กล่าวถึงโรงเรียนหรือระบุว่า เหยื่อเป็นเด็กแม้แต่น้อย
ส่วนภาพถ่ายของเหตุการณ์ที่เผยให้เห็นร่างของผู้คนนอนอยู่บนถนนราวครึ่งโหล ก็ถูกลบหายไปจากโลกอินเทอร์เน็ตที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดของจีนอย่างรวดเร็ว
“เราต้องการความจริง” คือหนึ่งในโพสต์บน Weibo แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมของจีน
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นภาพสะท้อนของแนวโน้มที่น่ากังวล นับตั้งแต่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นสู่อำนาจในปี 2012 พรรคคอมมิวนิสต์ได้ขยายขอบเขตการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยมองว่าเป็นหนทางป้องกันความไม่สงบ หัวข้อที่เคยพูดคุยได้ ตั้งแต่ข่าวเชิงลบทางเศรษฐกิจไปจนถึงประเด็น LGBTQ+ ต่างก็ถูกเซ็นเซอร์ และในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า “เหตุโจมตีมวลชน” (การใช้รถยนต์หรือมีดทำร้ายผู้คนจำนวนมาก) จะกลายเป็นอีกหนึ่งหัวข้อต้องห้ามไปแล้ว

จุดเปลี่ยนเดือนพฤศจิกายน โศกนาฏกรรมที่จูไห่
ในอดีตทางการเคยเปิดเผยรายละเอียดพื้นฐานของเหตุการณ์ลักษณะนี้ โดยมักจะระบุว่าผู้ก่อเหตุทำไปเพราะความโกรธแค้นต่อสังคมจากปัญหาทางการเงิน แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังเกิดโศกนาฏกรรมอันน่าสยดสยองที่เมืองจูไห่ เมื่อพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 35 ราย แหล่งข่าวระบุว่า คำสั่งจากเบื้องบนสุดจากสี จิ้นผิง ได้สั่งการให้หามาตรการป้องกันเหตุซ้ำรอย
8 วันหลังจากนั้น ก็เกิดเหตุรถเอสยูวี (SUV) พุ่งชนนักเรียนที่มณฑลหูหนาน แต่ตัวเลขผู้บาดเจ็บกว่า 30 คนกลับไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม จนกระทั่งคนขับถูกตัดสินโทษ
ตั้งแต่นั้นมา การปิดกั้นข้อมูลก็ยิ่งเข้มงวดยิ่งขึ้น

เมื่อความเงียบของรัฐ ถูกท้าทายโดยโลกออนไลน์
เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุรถยนต์พุ่งเข้าใส่ผู้คนที่ป้ายรถประจำทางในเมืองเถิงโจว ทางการเลือกที่จะเงียบ แต่เมื่อวิดีโอของเหตุการณ์ถูกลบออกจากโซเชียลมีเดีย เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากโลกออนไลน์ก็เริ่มดังขึ้น ประชาชนเรียกร้องให้ตำรวจเปิดเผยข้อมูลพื้นฐาน จนกระทั่ง 48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ความจริงจึงถูกเปิดเผย: มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และไม่ใช่การโจมตีโดยเจตนา แต่เกิดจากคนขับเมา

นายหู ซีจิน อดีตบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ของรัฐ เตือนว่า หากปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง หลักการของการเปิดเผยข้อมูลอาจถูกทำลายลง
ศาสตราจารย์เจนนิเฟอร์ พาน จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านการเซ็นเซอร์ให้ความเห็นว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมักต้องการจะปิดข่าวที่สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อตนเอง แต่บางครั้งรัฐบาลกลางก็มีเป้าหมายที่ต่างออกไป “เมื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้รับความสนใจจนเกินกว่าที่ท้องถิ่นจะปิดได้ รัฐบาลกลางก็มีแรงจูงใจที่จะเข้ามาจัดการเพื่อรักษาความชอบธรรมของระบบโดยรวม”

กลยุทธ์ใหม่ แถลงเร็วแต่ไร้รายละเอียด
ดูเหมือนว่าทางการกำลังปรับกลยุทธ์ใหม่ “แถลงการณ์ให้เร็ว แต่ให้รายละเอียดน้อยที่สุด” ดังเช่นกรณีที่ปักกิ่งเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ตำรวจจราจรออกรายงานภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุรถชนคน แต่กลับละเว้นรายละเอียดสำคัญว่าจุดเกิดเหตุอยู่ใกล้โรงเรียน
และล่าสุดกับเหตุการณ์ที่เขตมี่หยุนเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ตำรวจออกแถลงการณ์สั้นๆ สื่ออิสระอย่าง “ไฉซิน” (Caixin) ต้องลงพื้นที่สอบถามเจ้าของร้านค้าและโรงพยาบาลในพื้นที่ด้วยตนเอง จึงจะสามารถยืนยันได้ว่ามีเด็กถูกรถชนและกำลังรับการรักษาอยู่จริง
บางทีสำหรับนักข่าวอาชญากรรมในประเทศนี้ การสืบสวนหาตัวคนร้ายที่กระทำผิดซึ่งหน้าอาจไม่ใช่เรื่องท้าทายที่สุด แต่การสืบหา “ความจริง” ที่ถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้กำแพงแห่งการเซ็นเซอร์ของรัฐนั้น คือสมรภูมิที่แท้จริง.
ที่มา : AP



อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หนุ่มจีน ดีกรีป.เอกในอังกฤษ วางยาข่มขืนสาวนับสิบ ตร.เชื่อเหยื่ออาจพุ่ง 50 คน
- สื่อจีนชี้ชัด เขมรยิงไทยก่อน สวนทางคำอ้าง ฮุน เซน ปมปะทะชายแดน
- หนุ่มจีนถูกห้ามเอาพาวเวอร์แบงก์ขึ้นเครื่องบิน โมโหขว้างไฟลุกท่วม
ติดตาม The Thaiger บน Google News: