ข่าว

อ.ตฤณห์ ชี้ ทิดสฤษดิ์ ทำลายศรัทธา ไม่ใช่โรคหลายบุคลิก แต่เป็นสันดานล้วน ๆ

อ.ตฤณห์ วิเคราะห์ ทิดสฤษดิ์ อดีตเจ้าคณะนครสวรรค์ ชี้พฤติกรรมชีวิตสองโลกไม่ใช่การเจ็บป่วยทางจิต แต่เป็นบุคลิกภาพหลงตัวเอง และเป็นสันดานที่รู้ตัวตลอด

(วันที่ 21 กรกฎาคม 2568) อ.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกมาวิเคราะห์เจาะลึกถึงพฤติกรรมของ ทิดสฤษดิ์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ผ่านรายการ โหนกระแส โดยชี้ว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตสองโลกที่ถูกเปิดโปงออกมานั้น ไม่น่าจะใช่การเจ็บป่วยทางจิต แต่เป็นลักษณะของบุคลิกภาพที่หลงตัวเอง และเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากสันดาน ซึ่งมีการวางแผนและรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

อ.ตฤณห์ ได้อธิบายพฤติกรรมการใช้ชีวิตคู่ขนานของอดีตพระเถระว่า เข้าข่ายทฤษฎีที่เรียกว่า Cognitive Dissonance คือการสร้างตัวตนสองด้านที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง โดยตัวตนที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ในผ้าเหลือง คือการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าศรัทธา บำเพ็ญเพียร เพื่อสร้างอำนาจและหาเงินจากการทำบุญ ส่วนอีกตัวตนหนึ่ง คือการสวมวิกผม ใช้ชีวิตทางโลกอย่างเต็มที่ มีความสัมพันธ์กับสีกา

ภาพทิดสฤษดิ์
ภาพจาก: YT/ โหนกระแส [Hone-Krasae] official
นอกจากนี้ยังกล่าว ถึงกรณีหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ด้วยว่า ด้วยลักษณะบุคลิกเช่นนั้น หากมีการกระทำความผิด จะเรียกได้ว่าบุคคลดังกล่าวเป็น Narcissist ซึ่งเป็นบุคลิกภาพหลงตัวเอง และมีลักษณะคล้ายกับ สีกา ก. ก่อนหน้านั้น โดยลืมตัวตนของตน และใช้ชีวิตคู่ขนานสองโลก

เมื่อถูกถามว่าพฤติกรรมเช่นนี้เข้าข่าย “โรคหลายบุคลิก” หรือไม่ อ.ตฤณห์ ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน โดยอธิบายว่าโรคหลายบุคลิก (ปัจจุบันเรียกว่า โรคหลายอัตลักษณ์) นั้น ผู้ป่วยจะเชื่อจริง ๆ ว่าตนเองมีหลายตัวตนและไม่สามารถควบคุมได้ แต่มองว่ากรณีของทิดสฤษดิ์นั้น “ไม่ใช่เรื่องการเจ็บป่วยทางจิต แต่เป็นเรื่องสันดานล้วน ๆ” โดยชี้ว่าเป็นคนที่มีสติครบถ้วน รู้ตัวทุกอย่าง และมีการวางแผนทุกสิ่ง แต่ขาดซึ่งจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี

อ.ตฤณห์ ได้สรุปความผิดของอดีตพระเถระรูปนี้ออกเป็น 5 มิติที่ชัดเจน ดังนี้

  • ด้านศีลธรรม มีพฤติกรรมทางเพศซึ่งผิดวินัยสงฆ์อย่างชัดเจน
  • ด้านสังคม ใช้สถานะทางสังคมที่ได้รับความเคารพมาแสวงหาประโยชน์ส่วนตน
  • ด้านอำนาจ มีประเด็นเรื่องการจัดการเงินวัดที่ไม่โปร่งใส
  • ด้านความสัมพันธ์ ใช้เวลาว่างจากการเป็นพระไปทำหน้าที่เป็น สามีชาวบ้าน และมีความสัมพันธ์ซับซ้อนเพื่อแลกผลประโยชน์
  • ด้านจิตวิญญาณ ทำลายศรัทธาของประชาชนต่อพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่า การทรยศต่อศาสนา (Religious Betrayal)

ในช่วงท้าย อ.ตฤณห์ ได้ให้มุมมองว่า การออกมาเปิดโปงของผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. หรือนักวิชาการคนอื่น ๆ ไม่ใช่การทำลายศาสนา แต่คือ การปกป้องศาสนา ด้วยการนำคนผิดออกมาจากองค์กร เพื่อคัดกรอง และสร้างความกระจ่างให้เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นการส่งสารที่สำคัญไปยังสังคม

รู้จักกับ Cognitive Dissonance

ทฤษฎีความไม่คล้องจองของปัญญา (Cognitive Dissonance Theory) โดย ลีออน เฟสติงเจอร์ (Leon Festinger) ในปี 1957 อธิบายถึง สภาวะความไม่สบายใจทางจิตใจ ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความเชื่อ ค่านิยม หรือความคิดที่ขัดแย้งกันเอง หรือเมื่อพฤติกรรมที่แสดงออกไปนั้นสวนทางกับความเชื่อภายในของตนเอง สภาวะนี้สร้างความรู้สึกอึดอัด สับสน และตึงเครียด ทำให้บุคคลต้องพยายามหาทางลดความขัดแย้งนั้นลงเพื่อกลับสู่สภาวะที่สบายใจอีกครั้ง

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญภาวะนี้

  • รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจเมื่อต้องตัดสินใจหรือกระทำอะไรบางอย่าง
  • พยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการตัดสินใจของตนเองอย่างหนัก
  • รู้สึกละอายใจหรือเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป และพยายามปกปิดการกระทำนั้น
  • ตัดสินใจทำบางอย่างเพราะแรงกดดันทางสังคม ทั้งที่ใจจริงไม่ได้ต้องการ

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Cognitive Dissonance

ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน โดยมีสาเหตุหลัก 3 ประการคือ

  1. การถูกบังคับให้ทำตาม เมื่อสถานการณ์บังคับให้เราต้องทำในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อหรือค่านิยมของตนเอง เช่น กฎระเบียบในที่ทำงาน หรือแรงกดดันทางสังคม
  2. การได้รับข้อมูลใหม่ เมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ ที่น่าเชื่อถือเข้ามา แต่ข้อมูลนั้นขัดแย้งกับความเชื่อเดิมที่ยึดถือมานาน
  3. การต้องตัดสินใจ เมื่อต้องเลือกระหว่างสองทางเลือกที่สำคัญและมีความน่าสนใจใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดความขัดแย้งในการตัดสินใจ

ผลกระทบและกลไกการรับมือ

โดยธรรมชาติแล้ว Cognitive Dissonance ทำให้เกิดความรู้สึกทางลบ เช่น วิตกกังวล อับอาย โศกเศร้า หรือเครียด มนุษย์จึงต้องหาทางลดความรู้สึกแย่เหล่านี้ลงด้วยกลไกการป้องกันตนเอง ซึ่งมักจะแสดงออกใน 3 รูปแบบคือ

  • การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง พยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของตน หรือบางครั้งก็ใช้วิธีกล่าวโทษปัจจัยภายนอกหรือบุคคลอื่น
  • การปกปิดพฤติกรรม เก็บซ่อนความเชื่อหรือการกระทำของตนเองไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินจากผู้อื่นและจากตนเอง
  • การเลือกรับข้อมูล (Confirmation Bias) เลือกที่จะรับฟังหรือหาข้อมูลจากแหล่งที่สนับสนุนการตัดสินใจของตนเองเท่านั้น และเพิกเฉยต่อข้อมูลที่ขัดแย้ง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Suriyen J.

นักเขียนบทความข่าว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาปรัชญาและศาสนา มีประสบการณ์กับสำนักข่าวระดับประเทศ ชื่นชอบด้านสังคม การเมือง ต่างประเทศ ทำให้สามารถสร้างคุณค่าผ่านงานเขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครบทุกมิติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx