
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า Apple บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี อาจพักการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของตนเอง หันไปใช้เทคโนโลยีของ Anthropic หรือ OpenAI แทน เพื่อขับเคลื่อนการอัปเดต Siri ที่จะมีขึ้นในปีหน้า หลังจากเจอปัญหาความฉลาดแซงหน้าไม่ทัน มือถือคู่แข่งอย่าง ซัมซุง หรือแม้แต่มือถือแบรนด์จีน
สำนักข่าวดังกล่าวอ้างอิงแหล่งข่าวที่ไม่ระบุชื่อซึ่งคุ้นเคยกับเรื่องนี้ว่า Apple ได้ขอให้ทั้ง Anthropic เจ้าของ Claude และ OpenAI เจ้าของ ChatGPTเริ่มฝึกฝนโมเดลของตน เพื่อนำมาทดสอบกับผู้ช่วยเสียงของบริษัท แต่ Apple ยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ว่าสุดท้ายแล้วจะให้ใครเข้ามาพัฒนา SIRI ให้
ในเดือนมีนาคม Apple ยืนยันว่าฟีเจอร์ AI ที่หลายคนรอคอย รวมถึงการปรับปรุง Siri ที่จะปั้นให้เป็นเอไอผู้ช่วยส่วนตัวในชีวิตประจำวัน จะล่าช้าออกไปจนถึง “ปีหน้า” ความสามารถที่ถูกเลื่อนออกไปนี้ เคยโฆษณาไว้ว่า Siri สามารถนำข้อมูลส่วนบุคคลจากแอปต่างๆ มาพิจารณาและทำงานที่ซับซ้อนได้ แถมยังได้เลื่อนบริการสุขภาพ AI และแอป Health ที่ปรับปรุงใหม่ ออกไปเป็นช่วงปลายปี 2026 อีกด้วย
การสะดุดในเรื่อง AI ครั้งนี้ถือเป็นปัญหาอย่างยิ่ง เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Google, Microsoft และ OpenAI ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ของตนเองอย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัทที่วางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม การตามหลังในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งต่อไป อาจบ่อนทำลายตำแหน่งแบรนด์พรีเมียมของ Apple ได้
ในเดือนมิถุนายน Apple ได้เปิดตัวเฟรมเวิร์ก Foundation Models ในงาน Worldwide Developers Conference ประจำปี เฟรมเวิร์กนี้ทำให้นักพัฒนาภายนอกสามารถเข้าถึงโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ทำงานบนอุปกรณ์ ซึ่งเป็นขุมพลังของ Apple Intelligence ได้โดยตรง ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างฟีเจอร์ AI ที่ทำงานแบบออฟไลน์ได้อย่างสมบูรณ์ ปัจจุบันเฟรมเวิร์กนี้เป็นกำลังหลักของฟีเจอร์ AI ส่วนใหญ่ของ Apple
การเดิมพันของ Apple กับแนวทางที่รอบคอบต่อ AI โดยเน้นความเป็นส่วนตัวและการประมวลผลบนอุปกรณ์มากกว่าส่งขึ้นคลาวด์ อาจประสบความสำเร็จในระยะยาว แต่แวดวงเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทเองก็เสี่ยงที่จะเสียพื้นที่สำคัญให้กับคู่แข่งที่กำลังส่งมอบฟีเจอร์ AI อันทรงพลังในวันนี้ ไม่ใช่ในปี 2026 หรือหลังจากนั้น

เตรียมปล่อย Macbook ราคาถูก ใช้ชิปประมวลผลของ ไอโฟน
แม้ฝั่ง AI ยังไม่รุ่ง แต่ฝั่งคอมพิวเตอร์พกพา Macbook ยังครองประสิทธิภาพอันดับ 1 เสมอ แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพง ขนาดรุ่นเล็กสุดอย่าง Macbook Air ราคาเริ่มต้นยัง 3.3 หมื่นบาท ล่าสุด แอปเปิ้ลปิ๊งไอเดีย เจาะกลุ่มตลาดกำลังซื้อน้อย ด้วยการใช้ชิปประมวลผลจากไอโฟนมารันระบบแทน
หมิงชี่กั่ว นักข่าวสายเทค เขียนบน X ว่า แอปเปิ้ลจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการผลิต MacBook รุ่นใหม่ในช่วงปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยชิป A18 Pro แทนที่จะเป็นโปรเซสเซอร์ M-series ชิปนี้เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 16 Pro ตัวเครื่องอาจมีตัวเลือกสีสันสดใส เช่น สีเงิน สีชมพู และสีเหลือง
MacBook รุ่นราคาถูกลงนี้จะมีหน้าจอขนาด 13 นิ้วเท่ากับ MacBook Air รุ่นปัจจุบัน ซึ่งถ้ามองเผินๆ คงแยกไม่ออก ชิปอาจเป็นสเปกเดียวที่ผู้บริโภคจะสังเกตเห็นความแตกต่างได้
แอปเปิล ตั้งเป้าการผลิตไว้ที่ 5-7 ล้านเครื่องสำหรับปี 2026 ซึ่งจะถือเป็นสัดส่วนที่สำคัญของยอดจัดส่งแล็ปท็อป Mac ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ชัดเจนว่ารุ่นนี้จะมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าเดิมมากน้อยเพียงใด แต่อาจจะต้องน่าดึงดูดอย่างมากเพื่อสร้างยอดขายในระดับสูงขนาดนั้น
แม้ว่า Mac ที่ใช้ชิป Apple Silicon ทุกรุ่นจนถึงปัจจุบันจะใช้ชิปตระกูล M-series ที่ทรงพลังกว่า แต่ชิปของ iPhone ก็ทรงพลังมากพอที่จะมอบประสบการณ์การใช้งาน Mac แบบพกพาได้อย่างสบาย

จากผลทดสอบบน Geekbench ประสิทธิภาพแกนเดี่ยว (single-core) ของชิป A18 Pro อยู่ที่ประมาณ ~3500 คะแนน ซึ่งตามหลังชิป M4 ที่พบใน Mac mini เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในส่วนของประสิทธิภาพหลายแกน (multi-core) จะมีช่องว่างที่ใหญ่กว่า (~8780 สำหรับ A18 Pro เทียบกับ ~15000 สำหรับ M4) แต่สำหรับคอมพิวเตอร์ระดับเริ่มต้น ผู้ใช้ Mac โดยเฉลี่ยอาจไม่ทันสังเกตเห็นความแตกต่างด้วยซ้ำ เนื่องจากงานคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพแกนเดี่ยวเป็นหลัก คะแนน multi-core ของ A18 Pro นั้นใกล้เคียงกับชิป M1 รุ่นดั้งเดิมจากปี 2020 ซึ่งหลายคนยังคงใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้และยังมีประสิทธิภาพที่เพียงพอ
ความสำเร็จของ MacBook รุ่นใหม่นี้จะขึ้นอยู่กับราคา ต้องดูว่าจะถูกกว่า MacBook Air มากพอที่จะชดเชยช่องว่างด้านประสิทธิภาพได้หรือไม่ Apple ไม่เคยตั้งราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 999 ดอลลาร์ของ Air มาก่อน ดังนั้นนี่จะเป็นการเข้าสู่ตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับทั้งลูกค้าและตัวบริษัทเอง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม The Thaiger บน Google News: