สุขภาพและการแพทย์

เช็คด่วน หมอดังเผย 15 พฤติกรรมเสี่ยง เร่งมะเร็งลุกลาม คนไทย 99% ทำอยู่แต่ไม่รู้ตัว

ฟังกันให้ดี เพจหมอดังเผย 15 พฤติกรรมเสี่ยง ช่วยกระตุ้นมะเร็งให้ลุกลาม เชื่อคนไทย 99% อาจทำอยู่ แต่ไม่รู้ตัวว่าเสี่ยงอายุสั้น

เมื่อวานนี้ (7 มิถุนายน) เพจ หมอโอ๊ค DoctorSixpack ได้มีการโพสต์ข้อความเพื่อเตือนภัยคนไทยเกี่ยวกับสุขภาพ ความว่า “คนไทย เสียชีวิต ทุกวัน ด้วยโรคมะเร็ง… เชคด่วน 15 ข้อ เร่งมะเร็งลุกลาม! คนไทย 99% อาจทำอยู่ ไม่รู้ตัว เสี่ยงอายุสั้น”

“หมอโอ๊คเข้าใจเลยครับว่าเพื่อนๆหลายท่าน ต้องการความละเอียดเชิงลึกที่สุด เพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง และ ครอบครัวแบบจริงจัง เพราะคนไทยเราเป็นมะเร็งกันหลายแสนคน”

“วันนี้หมอโอ๊คจะจัดเต็มให้ แบเข้าใจง่ายๆ และ ลงมือทำได้เลยครับ”

“15 ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งที่คนไทยทำทุกวัน ที่ IARC (International Agency for Research on Cancer) จัดให้เป็น “ความเสี่ยงก่อมะเร็ง” หมอโอ๊คจะ ขยายแต่ละข้อย่อยให้ครบข้อ ทุกข้อมี 5 หัวข้อย่อยแบบเข้าใจง่ายสุดๆ และ ให้กระชับ พร้อมคำอธิบายละเอียดแบบทำได้ทันทีครับ”

1. สูบบุหรี่ / ควัน / ฝุ่น / ยากันยุง

  • 1. ควันบุหรี่ = Group 1 Carcinogen มีสารพิษกว่า 7,000 ชนิด เช่น Benzene, Formaldehyde, Arsenic มีอย่างน้อย 70 ชนิดที่กระตุ้นการกลายพันธุ์ของเซลล์
  • 2. บุหรี่มือสอง (Secondhand Smoke) แม้ไม่สูบเอง แต่สูดดมจากคนรอบข้าง = รับสารพิษเช่นกัน เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอด 20–30%
  • 3. ฝุ่น PM2.5 = ฝุ่นระดับถุงลมปอด เข้าได้ลึกถึงระดับ Alveoli ทำให้เซลล์ปอดอักเสบ → กลายพันธุ์ เสี่ยงมะเร็งปอด แม้ไม่เคยสูบบุหรี่
  • 4. ควันจากยากันยุง สาร pyrethrin และสารระเหยบางชนิดเมื่อสะสม = กระตุ้นการกลายพันธุ์ของเซลล์ในทางเดินหายใจ
  • 5. อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ – ค่าฝุ่นสะสม คนที่อาศัยในกรุงเทพ หรือเมืองที่ค่าฝุ่นเฉลี่ยเกิน 10 µg/m³ = ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

2. น้ำหนักเกิน / อ้วนลงพุง

  • 1. ไขมันในช่องท้อง = เพิ่มฮอร์โมนผิดปกติ ไขมันผลิต Estrogen และ Insulin → กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์
  • 2. ดัชนีมวลกาย (BMI) > 30 = ความเสี่ยงสูง มะเร็งเต้านม, ลำไส้ใหญ่, มดลูก, ตับ และไต พบเพิ่มในคน BMI สูง
  • 3. ไขมันพอกตับ = จุดเริ่มของความเสื่อม ตับอักเสบเรื้อรัง = เสี่ยงกลายพันธุ์ของเซลล์ตับ
  • 4. อ้วน = ภาวะอักเสบเรื้อรังทั้งระบบ กระตุ้นการหลั่ง Cytokines ที่ส่งเสริมการโตของเนื้องอก
  • 5. ลดน้ำหนัก 5–10% = ลดความเสี่ยงทันที แค่ลดน้ำหนักเล็กน้อยก็เห็นผลทางสุขภาพชัดเจน

3. กินเนื้อแปรรูป

  • 1. แฮม ไส้กรอก เบคอน = ใส่ไนไตรต์ (Nitrite) กลายเป็น Nitrosamines → สารก่อมะเร็งในกระเพาะและลำไส้
  • 2. รมควัน = ได้รับสาร PAHs สารที่เกิดจากการเผาไหม้ไขมันในอุณหภูมิสูง
  • 3. โซเดียมสูง = ดึงน้ำ + ทำลายเซลล์ผิวทางเดินอาหาร เยื่อบุอ่อนแอ = เซลล์ผิดปกติเข้าสู่กระบวนการกลายพันธุ์ได้ง่าย
  • 4. เด็กกินตั้งแต่เล็ก = สะสมสารพิษเร็ว ร่างกายยังไม่พร้อมล้างพิษ สารตกค้างนานขึ้น
  • 5. WHO จัดเนื้อแปรรูปเป็น Group 1 Carcinogen อยู่ในระดับเดียวกับบุหรี่และแอลกอฮอล์

4. ไม่ออกกำลังกาย

  • 1. ร่างกายไม่เคลื่อนไหว = น้ำเหลืองไม่ไหลเวียน ระบบกำจัดของเสียล้มเหลว → เซลล์ผิดปกติคั่ง
  • 2. ภูมิคุ้มกัน Cellular Immunity ลดลง NK cells ทำลายเซลล์กลายพันธุ์ไม่ได้
  • 3. อินซูลินสูง = กระตุ้น IGF-1 เป็นตัวเร่งการโตของเซลล์เนื้องอก
  • 4. ไม่เผาผลาญไขมันเก่า = ความเสี่ยงสะสม ไขมันเก่าคือแหล่งสารพิษตกค้าง
  • 5. เดินเร็ววันละ 30 นาที = ลดความเสี่ยงทันที ไม่ต้องหนักมาก แค่ “เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ” ก็พอ
5. ดื่มแอลกอฮอล์
  • 1. Alcohol → Acetaldehyde (สารก่อมะเร็ง) ทำลาย DNA โดยตรงในปาก คอ หลอดอาหาร
  • 2. ตับทำงานหนัก → เกิดการอักเสบเรื้อรัง อักเสบระยะยาว = พื้นฐานของเซลล์มะเร็ง
  • 3. ไม่มีปริมาณที่ปลอดภัย 100% แม้ดื่มวันละ 1 แก้วก็เพิ่มความเสี่ยง
  • 4. ร่วมกับการสูบบุหรี่ = ความเสี่ยงคูณสอง ส่งเสริมการดูดซึมสารพิษ
  • 5. แอลกอฮอล์ลดภูมิคุ้มกัน + เปลี่ยนเมตาบอลิซึม ส่งผลโดยรวมต่อระบบการซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย

6. วิตามินดี 3 ต่ำ

  • 1. ระดับ <30 ng/ml = เสี่ยงสูง ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมการกลายพันธุ์ของเซลล์
  • 2. วิตามินดีเป็นตัวกระตุ้น T-Cells และ NK Cells หากขาด = ฆ่าเซลล์ผิดปกติไม่ทัน
  • 3. พบในผู้หญิงเมืองไทยมาก (เพราะไม่โดนแดด) การหลบแดดใช้ครีม SPF = สร้าง D3 ไม่ได้เลย
  • 4. ควรเสริม 5,000–10,000 IU ต่อวัน (หรือวันเว้นวัน) แล้วตรวจระดับทุก 3–6 เดือน เป้าหมายระดับวิตามินดี3 ที่ 50-60-70-80 ng/ml ไม่ควรเกิน 100 ครับ ควรทานพอดีๆ ไม่มากไป ไม่น้อยไปครับ หากเกิน ให้หยุดทาน และตรวจซ้ำ พยายามให้คงระดับที่ 60 บวกลบ ครับ
  • 5. กินร่วมกับ K2 + แมกนีเซียม → ช่วยดูดซึมและป้องกันพิษ K2 พาแคลเซียมไปกระดูก, Mg ช่วยเปลี่ยน D3 เป็น active form

7. ขาดโอเมก้า 3

  • 1. โอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ภาวะอักเสบเรื้อรังคือดินแดนที่เซลล์มะเร็งเติบโตดี ขาดโอเมก้า 3 = ภูมิคุ้มกันแย่ลง
  • 2. DHA และ EPA ป้องกันเยื่อหุ้มเซลล์ถูกทำลาย เมื่อเยื่อเซลล์แข็งแรง เซลล์มะเร็งเข้ายึดครองได้ยากขึ้น
  • 3. โอเมก้า 3 ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เต้านม และปอด งานวิจัยจาก AJCN (2018) พบความเกี่ยวข้องชัดเจน
  • 4. พบในอาหาร: ปลาไทย (ปลาทู, ปลาสำลี), แฟลกซ์, วอลนัท เน้นปลา “นึ่งหรือต้ม” ไม่ทอดเพื่อลดสารพิษ
  • 5. คนกินอาหารแปรรูปเยอะมักขาดโอเมก้า 3 โดยไม่รู้ตัว เพราะได้รับโอเมก้า 6 จากน้ำมันพืชสูง → ทำให้สัดส่วนผิด

8. ขาดไฟเบอร์ / จุลินทรีย์ลำไส้เสียสมดุล

  • 1. ไฟเบอร์คือ “อาหารของจุลินทรีย์ดีในลำไส้” ไม่มีไฟเบอร์ = จุลินทรีย์ดีตาย → แบคทีเรียร้ายครองระบบ
  • 2. ไฟเบอร์ช่วยขับสารพิษและไขมันส่วนเกิน ลดเวลาที่สารพิษสัมผัสเยื่อบุลำไส้
  • 3. สมดุลจุลินทรีย์ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันกว่า 70% NK Cells, T Cells และเซลล์เม็ดเลือดขาวควบคุมจากลำไส้
  • 4. ขาดไฟเบอร์ = อุจจาระตกค้าง + อักเสบทางลำไส้ เสี่ยงเกิด Polyp และกลายเป็นเซลล์ผิดปกติ
  • 5. แนะนำกินผักใบหลากสี + ถั่วเมล็ดแห้ง + ผลไม้เปลือกบาง เช่น แอปเปิ้ล มะละกอ เมล็ดเจีย

9. เครียดเรื้อรัง วิตก กังวล

  • 1. เครียด → คอร์ติซอลสูง → ภูมิคุ้มกันตก ร่างกายไม่สามารถฆ่าเซลล์ผิดปกติได้ดี
  • 2. ทำลายสมดุลลำไส้ – แกนสมอง–ลำไส้รวน ทำให้เกิดภาวะ “ลำไส้รั่ว” ที่ส่งผลถึงระบบอักเสบเรื้อรัง
  • 3. เครียด = นอนหลับแย่ = วิตามินดีตก วงจรเร่งมะเร็งอย่างเป็นระบบ
  • 4. วิตกเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งสารอักเสบ Cytokines เพิ่มโอกาสที่เซลล์ปกติจะแปรสภาพ
  • 5. การหายใจลึก, สมาธิ, ธรรมชาติบำบัด = ตัวช่วยลดมะเร็งทางอ้อม พฤติกรรมเหล่านี้ช่วยควบคุมสมองอัตโนมัติให้ลดความตื่นตัวเกินไป

10. นอนน้อย / นอนไม่พอ / นอนดึก

  • 1. นอนไม่พอ = เมลาโทนินต่ำ → ซ่อมเซลล์ไม่ทัน เมลาโทนินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างเองตอนหลับลึก
  • 2. นอนไม่ลึก = ภูมิคุ้มกันไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ NK Cells ทำงานได้น้อยลง
  • 3. นอนดึก = ร่างกายไม่เข้าช่วงซ่อมแซมจริง เวลาซ่อมแซมจริงคือช่วง 22.00 – 02.00 น.
  • 4. คนทำงานกะดึก = เสี่ยงมะเร็งเต้านมและลำไส้เพิ่มขึ้นชัดเจน IARC จัด “shift work” เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2A
  • 5. การปรับรูปแบบชีวิต + ออกแดดตอนเช้า ช่วย Reset วงจรหลับ อย่าพึ่งยา หากยังปรับพฤติกรรมได้ครับ

11. ติดหวาน / แป้ง / น้ำตาลเกินจำเป็น

  • 1. น้ำตาล → อินซูลินสูง → IGF-1 สูง = เซลล์โตไวผิดปกติ เซลล์ผิดปกติจะถูกเลี้ยงและไม่ถูกทำลายง่ายๆ
  • 2. อาหารพลังงานสูง – โปรตีนต่ำ – เสี่ยงมะเร็งลำไส้ ยิ่งกินขนมหวาน+ของมันเยอะ ยิ่งเร่งกระบวนการกลายพันธุ์
  • 3. ดื่มหวานทุกวัน = น้ำตาลในเลือดพุ่งตลอดเวลา ทำให้ร่างกายตกอยู่ในโหมดเร่งสร้างเนื้อเยื่อ = มะเร็งโตง่าย
  • 4. แป้งขัดขาว → ย่อยเร็ว → น้ำตาลสูง → อักเสบในเซลล์ อักเสบเรื้อรัง + น้ำตาลสูง = ดับเบิ้ลความเสี่ยง
  • 5. ลดหวาน = ลดความเสี่ยงเบาหวาน-อ้วน-มะเร็งพร้อมกัน เริ่มจากเลิกน้ำตาลในกาแฟ / งดขนมก่อนนอนครับ

12. ของทอด / ปิ้งย่าง / น้ำมันซ้ำ

  • 1. อาหารไหม้ → สาร PAHs, HCAs สูงมาก กระตุ้นการกลายพันธุ์ของ DNA ในทางเดินอาหาร
  • 2. น้ำมันทอดซ้ำ = สารอนุมูลอิสระสะสม โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มที่ไม่ทนความร้อน
  • 3. ปิ้งย่างบนเตาถ่าน = ฝุ่น ควัน และไขมันไหม้เข้าร่างกาย หายใจเข้าไปก็กระตุ้นมะเร็งปอด
  • 4. ของทอดดูดซึมน้ำมัน = พลังงานสูงแฝง + สารพิษ ได้ทั้งอ้วน + ได้ทั้งความเสี่ยงโรค
  • 5. อาหารเหล่านี้เมื่อกินประจำ = กระตุ้นความอักเสบทั้งระบบ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีภูมิแพ้ / ลำไส้อ่อนแออยู่แล้ว

13. ถั่วลิสงที่มีเชื้อรา Aflatoxin

  • 1. Aflatoxin B1 = สารก่อมะเร็งตับอันดับ 1 พบในถั่วที่เก็บในอุณหภูมิร้อนชื้น
  • 2. ต้มไม่ฆ่าเชื้อ → ต้องอบ/คั่วด้วยความร้อนสูง การต้มไม่เพียงพอในการลดพิษ
  • 3. เชื้อรานี้ร่างกายไม่สามารถขับออกง่าย สะสมที่ตับ → ทำให้ตับแข็ง → มะเร็งตับ
  • 4. ถั่วราคาถูก บรรจุในถุงพลาสติกไม่มีฉลาก = เสี่ยงมากที่สุด โดยเฉพาะตามตลาดนัด หรือแหล่งผลิตที่ไม่มีมาตรฐาน
  • 5. เด็กที่กินถั่วลิสงประจำ เสี่ยงสะสมเร็วเพราะตับยังพัฒนาไม่เต็มที่

14. ปลาดิบ / พยาธิใบไม้ตับ

  • 1. พยาธิใบไม้ตับ (Opisthorchis viverrini) = มะเร็งตับท่อน้ำดี พบมากในคนกินปลาร้าดิบ ปลาส้ม ปลาน้ำจืดดิบ
  • 2. พยาธิทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง → กลายเป็นมะเร็ง โดยไม่รู้ตัวและไม่มีอาการจนระยะท้าย
  • 3. การดอง / หมัก / เค็ม ไม่สามารถฆ่าพยาธิได้ ต้องผ่านการ “ปรุงด้วยความร้อนเท่านั้น”
  • 4. กินปลาดิบจากทะเลลึกยังเสี่ยงพยาธิตัวจี๊ด / อื่นๆ แม้ในญี่ปุ่นก็ยังมีเคสความเสี่ยง
  • 5. การเจาะเลือดเช็กพยาธิ = วิธีเดียวที่แน่นอน ถ้าสงสัย ให้ตรวจเลือดก่อนค่อยปรับพฤติกรรมครับ

15. ไม่กินผัก / ผลไม้ / ถั่วเมล็ดอ่อน

  • 1. ขาดไฟเบอร์ = ระบบขับถ่ายไม่ดี → สารพิษตกค้าง เยื่อบุลำไส้สัมผัสสารพิษนานขึ้น
  • 2. ไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระ = เซลล์เสื่อมเร็ว สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน A, C, K, Polyphenols
  • 3. ผักหลากสีช่วยควบคุมฮอร์โมนผิดปกติ โดยเฉพาะผักใบเขียวเข้ม – ลดการกระตุ้น Estrogen ผิดปกติ
  • 4. ถั่วเมล็ดอ่อน เช่น ถั่วแระญี่ปุ่น = โปรตีนจากพืชที่ดี เสริมภูมิแบบสมดุล ลดการกระตุ้น Insulin
  • 5. ผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล = ปรับสมดุลลำไส้ได้เยี่ยม และช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

สรุปจากหมอโอ๊ค ถ้าเพื่อนๆ เจอว่ากำลังทำอยู่หลายข้อ ลองค่อยๆ ปรับทีละเรื่องนะครับ การลดความเสี่ยง = การให้โอกาสตัวเองมีชีวิตที่ยืนยาว มีคุณภาพ และแข็งแรงครับ

อ้างอิง : Facebook หมอโอ๊ค DoctorSixpack

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Bas

ผู้สื่อข่าวกีฬา จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีประสบการณ์เขียนข่าวกีฬากับ SMMSport กว่า 10 ปี เริ่มทำงานกับ Thaiger เมื่อ 2021 ชอบและติดตามกีฬามาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะฟุตบอลทั้งบอลไทย และต่างประเทศ 5 ลีกดังของโลก พร้อมอัปเดตข่าวสารวงการฟุตบอล แบบเข้าใจง่าย ให้เพื่อนๆและแฟนบอลได้ติดตามกันทุกวัน ช่องทางติดต่อ saral@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx