
รีวิวหนัง Bring Her Back (2025) เมื่อความสยองกลับสู่บ้าน ระทึกบทใหม่จากสองพี่น้องฟิลิปปู สยองไม่แพ้ Talk to Me
ข้อมูลภาพยนตร์ Bring Her Back
- กำกับโดย: แดนนี ฟิลิปปู, ไมเคิล ฟิลิปปู
- เขียนบทโดย: แดนนี ฟิลิปปู, บิล ฮินซ์แมน
- อำนวยการสร้าง: ซาแมนธา เจนนิงส์, คริสตินา เซย์ตัน
- นำแสดงโดย: บิลลี่ บาร์แรตต์, โซรา หว่อง, แซลลี ฮอว์กินส์
- กำกับภาพ: แอรอน แมคลิสกี้
- ตัดต่อโดย: เจฟฟ์ แลมบ์
- ดนตรีประกอบ: คอร์เนล วิลเช็ก
- เข้าฉาย: 29 พฤษภาคม 2025 ทุกโรงภาพยนตร์
- ความยาว: 104 นาที
- ทุนสร้าง: 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หาก Talk to Me (2023) คือใบเบิกทางให้สองผู้กำกับฝาแฝดแดนนี–ไมเคิล ฟิลิปปู แจ้งเกิดในฐานะคนทำหนังสยองขวัญรุ่นใหม่ Bring Her Back ก็เปรียบเสมือนระลอกคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดคนดูให้จมดิ่งลงสู่มหาสมุทรอันคละคลุ้งด้วยความกลัวชนิดฝังลึกใต้ผิวหนัง หนังพาเรากลับไปยังพื้นที่ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นที่ปลอดภัยที่สุด “บ้าน” เพื่อพลิกให้เป็นแดนสนธยาน่าขนลุกอย่างไร้ทางหนี
เรื่องราว Bring Her Back เริ่มต้นในแอดิเลด ออสเตรเลีย “ไพเพอร์” (โซรา หว่อง) เด็กสาวตาบอด กับพี่ชาย “แอนดี้” (บิลลี่ บาร์รัตต์) กลายเป็นกำพร้าอย่างกะทันหัน พี่ชายพยายามขอสิทธิ์เลี้ยงน้องสาวผู้พิการทางสายตาไว้เอง แต่กฎหมายยังไม่เอื้อ ทำให้ทั้งคู่ต้องเข้าโครงการอุปการะ ต้องย้ายไปอยู่กับ “ลอรา” (แซลลี ฮอว์กินส์) หญิงวัยกลางคนผู้ทำงานด้านสวัสดิการเด็กมานานพร้อมบ้านหลังงามชวนอบอุ่น ทว่าความอบอุ่นนั้นค่อย ๆ กลายเป็นควันพิษ เมื่อลอราฉายแววประหลาดทั้งท่าที ตุ๊กตาสุนัขในห้องนั่งเล่น ไปจนถึงวีดิทัศน์ฟุตเทจยุค VHS ที่ซ่อน “พิธีกรรม” บางอย่างเอาไว้
หากคุณคุ้นเคยกับบทบาทน่ารักอบอุ่นของแซลลี ฮอว์กินส์ใน The Shape of Water หรือ Paddington เตรียมใจไว้ให้ดี เพราะเธอพลิกบทบาทเป็น ลอร” แม่เลี้ยงผู้บิดเบี้ยวทางจิตใจได้อย่างน่าพรั่นพรึง แซลลีใช้แววตาอ่อนโยนซ่อนมีดไว้ในรอยยิ้ม ค่อย ๆ กัดกร่อนความไว้ใจของเด็กในอุปการะอย่างเชื่องช้าแต่ต่อเนื่อง การแสดงของเธอเต็มไปด้วยนัยยะที่ยากคาดเดา จนคนดูรู้สึกคล้ายเดินอยู่ในเขาวงกตแห่งอารมณ์
2 พี่น้องฟิลิปปูยกระดับการเล่าเรื่องจากงานเดบิวต์ไปอีกขั้น พวกเขายังคงใช้ลายเซ็น กล้องแฮนด์เฮลด์ + งานเสียงปักหมุดประสาท แต่น้ำหนักที่ใส่ลงไปเปลี่ยนจาก “ตกใจ” สไตล์จัมป์สแกร์สู่ “รุกล้ำ” ด้านอารมณ์มากขึ้น ทั้งยังฉีกโครงสร้างแบบคลาสสิกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วประกอบกลับในรูปแบบคอลลาจหลอนประสาท ผลลัพธ์คือหนังที่อาจไม่เป็นระเบียบงามตา—แต่สะกดคนดูให้หมดแรงต่อต้านได้สำเร็จ
หนังอัดแน่นด้วยภาพพิธีกรรม วัตถุบายพาส—ก๊อกเลือด เส้นผมในโถแก้ว สระว่ายน้ำไร้น้ำ—ซึ่งบางชิ้นอาจไม่ได้คลี่คลายคำตอบชัดเจน แต่ทำหน้าที่เหมือนเศษกระจกที่สะท้อนด้านมืดของตัวละครและคนดู ประเด็น “Munchausen by proxy” (สร้างอาการป่วยให้เด็กเพื่อเรียกร้องความสนใจ) ถูกขยี้อย่างไร้ปรานี จนหลายฉากก้าวข้ามเส้นความสยองไปสู่ใจสลาย
หนังไม่ได้เน้นตุ้งแช่ หรือผีโผล่จากเงามืด แต่แทนที่ด้วยความสยองแบบเย็นเยียบที่เกาะกินจิตใจ ผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ อย่าง ตุ๊กตาหมาในห้องนั่งเล่น กล้อง VHS ที่บันทึกพิธีกรรมประหลาด และเด็กชายปริศนานาม “โอลิเวอร์” ที่มาพร้อมรอยช้ำใต้ตาและความเงียบอันชวนสั่นประสาท
สิ่งที่ทำให้ Bring Her Back แตกต่างจากหนังสยองทั่วไปคืออารมณ์ร่วมของตัวละคร แอนดี้กับไพเพอร์เป็นพี่น้องที่เรารู้สึกผูกพันแทบจะทันที ส่วนการที่พวกเขาค่อย ๆ ตกอยู่ในอุ้งมือของลอรา เปรียบเสมือนการดูคนที่เราห่วงใจกำลังถูกกลืนกินอย่างไร้ทางช่วยเหลือ
แม้หนังจะเดินเรื่องแบบกึ่งอิสระ ไม่เน้นโครงสร้างแบบ 3 องก์อย่างเข้มงวด แต่งานภาพกลับเปี่ยมไปด้วยสัญลักษณ์น่าค้นหา ตั้งแต่ “สระว่ายน้ำที่ไม่มีน้ำ” ไปจนถึง “เส้นผมในโลงศพ” ที่ลอราตัดมาเก็บไว้ราวของขลัง บางอย่างอาจไม่ได้รับคำอธิบายชัดเจน แต่กลับทิ้งความรู้สึกหลอนฝังหัวคนดูอย่างไม่รู้ตัว
คำเตือนก่อนดู Bring Her Back
- หนังมีฉากรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ชมบางกลุ่ม
- ไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคำตอบตรงไปตรงมา เพราะหลายสิ่งจงใจปล่อยให้ตีความ
- หากคุณชอบหนังแนวสยองขวัญจิตวิทยา มากกว่าจั๊มพ์สแกร์แบบสำเร็จรูป Bring Her Back จะตอบโจทย์อย่างแท้จริง
คะแนน: ★★★★☆ (4.5/5)
ติดตาม The Thaiger บน Google News: