มุกดาหาร ประกาศยกย่อง ‘หมอนนชยา’ วินิจฉัยพบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ จนหยุดยั้งการระบาดใหญ่ได้

วันนี้ 2 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร ประกาศเกียรติคุณชื่นชม นายแพทย์นนชยา ใจตรง แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลดอนตาล ศิษย์เก่าแพทย์ขอนแก่น
นายแพทย์นนชยา เป็นผู้แม่นยำวินิจฉัยผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ โดยย้อมสีแกรม (Gram Stain) พบเป็นแกรมบวกชนิดแท่ง ร่วมกับพบแผลที่มือคนไข้ ทำให้วินิจฉัยโรคได้รวดเร็ว รู้เร็ว แจ้งเร็ว ทำให้สามารถควบคุมป้องกันโรคและหากลุ่มเสี่ยงโรคแอนแทรกซ์ได้เร็ว ป้องกันความเสียหาย และป้องกันความรุนแรง ที่จะเกิดในวงกว้าง ได้อย่างดีเยี่ยม
ทังนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์การระบาดของโรคแอนแทรกซ์ในพื้นที่ ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เวลา 09:00 น. พบผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เพิ่ม 1 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมขณะนี้อยู่ที่ 2 ราย และมีรายงานผู้เสียชีวิตสะสม 1 ราย
ปัจจุบัน มีผู้ป่วยที่เข้าข่ายต้องสงสัยติดเชื้อ 3 ราย กำลังอยู่ระหว่างการรักษาและเฝ้าระวังอาการที่โรงพยาบาลมุกดาหาร
จากการสอบสวนและติดตามกลุ่มเสี่ยง พบผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 638 ราย ประกอบด้วย
- ผู้สัมผัสโรคโดยตรง (ผู้ซ้ำแหละ) 36 ราย
- ผู้ที่รับประทานเนื้อดิบ 472 ราย
- ผู้สัมผัสร่วมบ้านกับผู้สัมผัสโรคโดยตรง 130 ราย
ทั้งนี้ ผู้สัมผัสและกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด 638 ราย ได้รับยาปฏิชีวนะ Doxycycline เพื่อป้องกันการเกิดโรคครบถ้วนตามมาตรการแล้ว
ในส่วนของการควบคุมโรคในสัตว์ ซึ่งดำเนินการร่วมกับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดมุกดาหาร ได้มีการดำเนินการดังนี้
ฉีด ยาปฏิชีวนะให้กับโคในพื้นที่เสี่ยงแล้ว 124 ตัว
มีโคจำนวน 1,222 ตัว ที่ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
เจ้าหน้าที่ได้ทำการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณสถานที่เสี่ยงทุกจุดเรียบร้อยแล้ว
มีการเก็บตัวอย่างจากซากสัตว์ที่สงสัย เพื่อส่งตรวจหาเชื้อในห้องปฏิบัติการ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจยืนยัน
โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อ บาซิลลัส แอนทราซิส (Bacillus anthracis) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถสร้างสปอร์ (Spore) ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ทำให้เชื้อสามารถอาศัยอยู่ในดินได้นานหลายปี โรคนี้ส่วนใหญ่มักเกิดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น วัว ควาย แพะ แกะ แต่ก็สามารถติดต่อมาสู่คนได้ จัดเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic disease) ที่มีความรุนแรง แต่สามารถป้องกันและรักษาได้หากตรวจพบเร็ว
เชื้อแอนแทรกซ์มาจากไหน?
เชื้อ Bacillus anthracis พบได้ตามธรรมชาติในดินทั่วโลก สัตว์จะติดเชื้อเมื่อกินหญ้าหรือน้ำที่ปนเปื้อนสปอร์ของเชื้อ เมื่อสัตว์ป่วยและตาย ซากของสัตว์นั้นก็จะปนเปื้อนเชื้อลงสู่ดิน ทำให้เกิดการแพร่กระจายของสปอร์ต่อไปได้อีก
การติดต่อสู่คนเกิดขึ้นได้อย่างไร?
คนสามารถติดเชื้อแอนแทรกซ์ได้หลายช่องทาง ขึ้นอยู่กับลักษณะการสัมผัสเชื้อ:
ทางผิวหนัง (Cutaneous Anthrax): เป็นช่องทางที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณ 95% ของผู้ป่วย) เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ป่วย หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ (เช่น ขน หนัง เนื้อ) ผ่านทางบาดแผลหรือรอยถลอกบนผิวหนัง เชื้อจะเข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง เป็นรูปแบบที่มีความรุนแรงน้อยที่สุดหากได้รับการรักษา
ทางการหายใจ (Inhalation Anthrax): เป็นช่องทางที่อันตรายและรุนแรงที่สุด เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อเข้าไปในปอด มักเกิดในผู้ที่ทำงานในโรงงานแปรรูปขนสัตว์หรือหนังสัตว์ หรืออาจเกิดจากการก่อการร้ายทางชีวภาพ
ทางระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Anthrax): เกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อและปรุงไม่สุก หรือดื่มนมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อจากสัตว์ป่วย
ทางการฉีด (Injection Anthrax): เป็นช่องทางที่พบได้น้อยมาก เคยมีรายงานในกลุ่มผู้ใช้เฮโรอีนในยุโรปที่ใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อ
อาการของโรคแอนแทรกซ์เป็นอย่างไร?
เริ่มจากมีตุ่มคันคล้ายแมลงกัด จากนั้นตุ่มจะกลายเป็นแผล มีน้ำเหลืองใส แล้วตรงกลางแผลจะกลายเป็นเนื้อตายสีดำคล้ายสะเก็ดถ่าน (Eschar) ซึ่งเป็นลักษณะเด่น มักไม่เจ็บปวด แต่อาจมีอาการบวมบริเวณรอบๆ แผล ต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงอาจโตและเจ็บได้
อาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว ไอ อ่อนเพลีย เจ็บหน้าอกเล็กน้อย จากนั้นอาการจะรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน เกิดภาวะหายใจลำบากอย่างรุนแรง ช็อก และอาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน (อาจมีเลือดปน) ปวดท้องรุนแรง ท้องเสียอย่างรุนแรง (อาจถ่ายเป็นเลือด) เบื่ออาหาร มีไข้ และอาจมีอาการคอบวม กลืนลำบากได้
มีอาการคล้ายแบบผิวหนัง แต่แผลอาจอยู่ลึกลงไปในชั้นใต้ผิวหนังหรือในกล้ามเนื้อ และอาจแพร่กระจายเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วกว่า
ใครคือกลุ่มเสี่ยง?
ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์ เช่น เกษตรกร สัตวแพทย์ คนงานในโรงฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (ขน หนัง)
บุคลากรในห้องปฏิบัติการที่ทำงานเกี่ยวกับเชื้อแอนแทรกซ์
ทหาร หรือผู้ที่อาจตกอยู่ในสถานการณ์ก่อการร้ายทางชีวภาพ
นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ดิบ หรือปรุงไม่สุกจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือในพื้นที่เสี่ยง
การวินิจฉัยโรคทำได้อย่างไร?
แพทย์จะซักประวัติการสัมผัสโรค ตรวจร่างกาย และทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการวินิจฉัย โดยอาจเก็บตัวอย่างจากแผลที่ผิวหนัง เลือด น้ำไขสันหลัง หรือเสมหะ เพื่อนำไปเพาะเชื้อหา Bacillus anthracis หรือตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ (เช่น PCR)
การรักษาโรคแอนแทรกซ์
การรักษาหลักคือการให้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อแอนแทรกซ์ เช่น Ciprofloxacin หรือ Doxycycline สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มการรักษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะในรายที่ติดเชื้อทางการหายใจหรือทางเดินอาหาร ระยะเวลาการรักษาอาจนานถึง 60 วัน เพื่อกำจัดสปอร์ที่อาจหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ในบางรายอาจมีการให้ยาต้านพิษ (Antitoxin) ร่วมด้วย
ติดตาม The Thaiger บน Google News: