
ส่องพอร์ตอาณาจักรยักษ์ใหญ่ ธุรกิจสิงห์ ภิรมย์ภักดี ไม่ใช่แค่เบียร์ แต่ลุยอสังหาริมทรัพย์อาหาร ครบวงจร มูลค่าทรัพย์สินมหาศาลกว่าแสนหมื่นล้านบาท
- ธุรกิจสิงห์ ในบุญรอดบริวเวอรี่ ประกอบไปด้วย เบียร์ เครื่องดื่ม ขนม อาหาร
- ขยายธุรกิจไปสู่โลจิสติก อสังหาริมทรัพย์ ผลิตขวดแก้ว
- ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคือ ตระกูลภิรมย์ภักดี
หากกล่าวถึงชื่อตระกูล ภิรมย์ภักดี แทบไม่มีใครไม่รู้จัก ในฐานะเจ้าของอาณาจักรธุรกิจ บุญรอดบริวเวอรี่ ผู้ผลิต เบียร์สิงห์ อันโด่งดัง ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มทุนครอบครัวที่ทรงอิทธิพลและหยั่งรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ความมั่นคงนี้ไม่ได้มาจากแค่ธุรกิจเครื่องดื่ม แต่แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาไปหลากหลายอุตสาหกรรม สร้างความมั่งคั่งมหาศาลติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ
หัวใจหลักของอาณาจักรคือ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ที่กุมบังเหียนธุรกิจเครื่องดื่ม ทั้งชนิดมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ สร้างรายได้รวมกันเฉพาะกลุ่มนี้ในปี 2564 มากกว่า 14,800 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจดั้งเดิม
เบียร์สิงห์ น้ำดื่มสิงห์อาจเป็นสินค้าที่คนไทยเห็นผ่านตามากที่สุด แต่เบื้องหลังอาณาจักร ภิรมย์ภักดี ยังมีความหลากหลายทางธุรกิจดำเนินอยู่อีกมหาศาลที่คุณอาจไม่เคยรู้ ลองมาสำรวจอาณาเขตน่าทึ่งนี้ไปพร้อมกัน
1. บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด (Boon Rawd Brewery Co., Ltd.) เป็นบริษัทผู้ผลิตเบียร์รายแรกของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2476 โดยพระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 600,000 บาท ปัจจุบัน บุญรอดบริวเวอรี่ ดำเนินธุรกิจในหลากหลายสาขา ได้แก่
1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผลิตเบียร์สิงห์, ลีโอ และเบียร์อื่นๆ
2. เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
- น้ำดื่มและโซดาตราสิงห์
3. บรรจุภัณฑ์
- ผ่านบริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน)
4. อสังหาริมทรัพย์
- ดำเนินการโดย สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)
5. อาหาร
- ภายใต้แบรนด์ Food Factors
6. โลจิสติกส์
- ผ่านบริษัท บุญรอดซัพพลายเชน
7. ธุรกิจบันเทิง
- เช่น มิวซิกมูฟ จำกัด
ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี
ข้อมูลรายได้และกำไรสุทธิของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนี้
- ปี 2561 รายได้ 9,412 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 776 ล้านบาท
- ปี 2562 รายได้ 10,258 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 4,194 ล้านบาท
- ปี 2563 รายได้ 9,539 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 4,471 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 10,645 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 5,127 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 11,711 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 5,793 ล้านบาท

2. บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เป็นบริษัทในเครือของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์รายแรกของประเทศไทย โดยมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจเครื่องดื่มของเครือบุญรอด ครอบคลุมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงการขยายตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้แก่
เบียร์สิงห์ (Singha)
- เบียร์ลาเกอร์ระดับพรีเมียมที่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพสูง มีปริมาณแอลกอฮอล์ 5.0%
เบียร์ลีโอ (Leo)
- เบียร์ลาเกอร์ที่มีรสชาตินุ่มนวล ปริมาณแอลกอฮอล์ 5.0% เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการเบียร์รสชาติดื่มง่าย
เบียร์สิงห์ไลท์ (Singha Light)
- เบียร์ไลท์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 4.0% รสชาตินุ่ม ดื่มง่าย และมีแคลอรี่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณแคลอรี่
เบียร์ลีโอ ซูพรีม
- เบียร์สไตล์ฮอปส์ที่มีรสชาตินุ่มนวล ผ่านกระบวนการกรองมอลต์แบบ Surface Filtration เพื่อให้ได้รสชาติเบียร์ที่เป็นเอกลักษณ์
เบียร์มายเบียร์ (My Beer)
- เบียร์ที่มีรสชาติเบา ดื่มง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นดื่มเบียร์หรือผู้ที่ต้องการเบียร์ที่มีรสชาติไม่เข้มข้นมาก
เบียร์สโนวี่ ไวเซ่น (Snowy Weizen)
- เบียร์สไตล์เยอรมันที่มีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมของข้าวสาลี เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเบียร์ที่มีรสชาติหลากหลาย
เบียร์เอสที.33 คอปเปอร์ (EST.33 Copper)
- เบียร์ที่มีสีคอปเปอร์และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ผลิตจากข้าวกล้องงอก (Gaba Rice) ให้รสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อม
ผลประกอบการ (ปี 2564)
- รายได้รวม 4,226,639,742 บาท
- กำไรสุทธิ 3,590,700,760 บาท

3. บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ชื่อย่อหลักทรัพย์: S) เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีธุรกิจครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 (ในชื่อเดิม “RASA”) และเปลี่ยนชื่อเป็น “สิงห์ เอสเตท” เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 6,853,719,395 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566) โดยมีการดำเนินงานใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจที่อยู่อาศัย
- พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ ภายใต้แบรนด์ต่างๆ เช่น SIRANINN, S’RIN, SHAWN และ SMYTH
ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท
- บริหารโรงแรมและรีสอร์ททั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ผ่านบริษัทลูก SHR (S Hotels & Resorts)
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
- พัฒนาและบริหารอาคารสำนักงาน เช่น สิงห์ คอมเพล็กซ์ และ S-OASIS
นิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
- พัฒนานิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมอุตสาหกรรมเอส อ่างทอง
ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี
- ปี 2563 รายได้ 8,041 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 636 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 7,739 ล้านบาท, ขาดทุน 137 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 12,530 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 490 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 14,675 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 211 ล้านบาท
- ปี 2567 (ไตรมาส 1) รายได้ 4,034 ล้านบาท, กำไรสุทธิ ไม่ระบุ ล้านบาท

4. บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด
กลุ่มสิงห์ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจอาหารอย่างเต็มตัวในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยจัดตั้งบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด (Food Factors) ขึ้นในปี 2561–2562 เพื่อรวบรวมธุรกิจร้านอาหารและเครือข่ายการผลิต-จัดจำหน่ายอาหารให้ครบวงจร (ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ) มีผลิตภัณฑ์หลัก เช่น สาหร่ายมาชิตะ และน้ำแร่เพอร์ร่า
ธุรกิจอาหารถือเป็น จิ๊กซอว์ เสาหลักชิ้นใหม่ที่เข้ามาเสริมพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบุญรอดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ แปรรูป ไปจนถึงร้านอาหารปลายน้ำ
ก่อนหน้าการตั้ง Food Factors กลุ่มสิงห์มีธุรกิจร้านอาหารอยู่แล้วหลายแบรนด์มานานกว่า 10 ปี เช่น ร้านอาหารและคราฟต์เบียร์ EST.33, ร้านขนมญี่ปุ่น Farm Design, ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมียม Kitaohji รวมถึงร้านซูชิ Star Chefs Maki Champion เป็นต้น
การจัดตั้ง Food Factors มีเป้าหมายเพื่อขยายธุรกิจอาหารเหล่านี้และสร้าง ซัพพลายเชนอาหารที่ครบวงจร รองรับการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้น โดยควบคุมต้นทุนได้ตั้งแต่ต้นน้ำ (การผลิตวัตถุดิบ/ครัวกลาง) จนถึงปลายน้ำ (ร้านค้าปลีกอาหาร)
ความเคลื่อนไหวสำคัญในธุรกิจอาหารของสิงห์คือ การเข้าซื้อกิจการร้านสเต๊กเฮาส์ “ซานตา เฟ่” (Santa Fe) ในปี 2562 โดย Singha Corporation เข้าซื้อหุ้น 90% ของเชนร้านซานตา เฟ่ (จากผู้ถือหุ้นเดิมคือกองทุน Lakeshore Capital) ด้วยมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท
ส่งผลให้สิงห์กลายเป็นเจ้าของเครือร้านสเต๊กยอดนิยมที่มีสาขากว่า 100 แห่งทั่วประเทศ (ณ ขณะนั้น) โดยซานตา เฟ่ ถือเป็นแบรนด์ร้านสเต๊กกำลังสำคัญในตลาด QSR สไตล์ตะวันตกของไทย ที่แข่งขันกับเชนรายใหญ่อื่นอย่าง Sizzler ของไมเนอร์ฯ ได้อย่างสูสี ปัจจุบันเครือ Food Factors มีแบรนด์ร้านอาหารในพอร์ตหลายรายการ ทั้งที่พัฒนาเองและที่ซื้อกิจการมา เช่น
- Santa Fe Steak – ร้านสเต๊กและอาหารตะวันตก (มากกว่า 120 สาขาทั่วประเทศ)
- Santa Fe Easy – ร้านสเต๊กรูปแบบเร่งด่วน (Quick Service) เพื่อเจาะตลาดใหม่
- EST.33 – ร้านอาหารและไมโครบรูว์ผับ สร้างประสบการณ์ควบคู่เบียร์คราฟต์ในเครือ
- Farm Design – ร้านขนมและชีสเค้กชื่อดังจากฮอกไกโด
- Kitaohji – ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นระดับไฮเอนด์
- แบรนด์อื่น ๆ เช่น ร้านอาหารอีสานฟิวชัน เหม็ง แซ่บนัว
- ร้านอาหารในเครืออื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
นอกจากส่วนร้านอาหารปลายน้ำแล้ว Food Factors ยังวางแผนสร้างครัวกลาง (Central Kitchen) และระบบซัพพลายเชนของตัวเอง เพื่อรองรับการผลิตวัตถุดิบและกระจายสินค้าไปยังร้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ผู้บริหารสิงห์ตั้งเป้าว่าในระยะ 5 ปี ธุรกิจอาหารในเครือจะเติบโตแตะรายได้ 15,000 ล้านบาทต่อปี โดยอาศัยการผนึกกำลังระหว่างธุรกิจอาหารกับธุรกิจอื่นในเครือ (เช่น การใช้เครือข่ายโลจิสติกส์และช่องทางจัดจำหน่ายของบุญรอดฯ มาช่วยกระจายสินค้าอาหาร เป็นต้น)

5. บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน)
บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BG Container Glass (BGC) ผู้ผลิตขวดแก้วรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยบริษัทนี้อยู่ในเครือบางกอกกล๊าส (BG) และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET)
โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BG ณ ปี 2561 พบว่ากลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่และตระกูลภิรมย์ภักดีถือหุ้นรวมกันถึง 68.5% ของกลุ่ม BG
นั่นหมายถึงเครือบุญรอดฯ เป็นเจ้าของสำคัญของ BGC ด้วย ธุรกิจหลักของ BGC คือรับจ้างผลิตขวดแก้วให้ลูกค้ารายใหญ่หลายราย เช่น เครื่องดื่มไวตามิลค์, โค้ก (ไทยน้ำทิพย์) และเบียร์สิงห์เอง
ผลประกอบการของ BGC ค่อนข้างสม่ำเสมอ: รายได้ปี 2562–2565 อยู่ในช่วง 11,000–14,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิปีละราว 500 ล้านบาท (เช่น ปี 2565 รายได้ 14,367 ล้าน กำไร 507 ล้าน)
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 กำไรสุทธิปรับลดลงเหลือ ~324 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น ก่อนจะลดลงอีกในปี 2567 เหลือ ~259 ล้านบาท

6. บริษัท ฝาจีบ จำกัด (มหาชน)
บริษัท ฝาจีบ จำกัด (มหาชน) หรือ Crown Seal (CSC): ผู้ผลิตฝาจุกขวดรายใหญ่ของไทย เช่น ฝาจีบโลหะ ฝาพลาสติก และฝาปิดบรรจุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งกลุ่มสิงห์ถือหุ้นบางส่วนเช่นกัน
บริษัทนี้มีรายได้ปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิใกล้เคียง 200 ล้านบาท (เช่น ปี 2564 รายได้ ~3,055 ล้าน กำไร ~258 ล้าน; ปี 2565 รายได้ ~2,901 ล้าน กำไร ~194 ล้าน)
ธุรกิจของฝาจีบมีความคล้ายคลึงกับ BGC ในแง่โครงสร้างผู้ถือหุ้นคือ มีลูกค้ารายใหญ่ในธุรกิจเครื่องดื่ม (เช่น ไทยน้ำทิพย์, กรีนสปอต) เข้าถือหุ้นเพื่อเสริมความร่วมมือในซัพพลายเชนด้วย
การลงทุนในบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มสิงห์นอกจากช่วยประกันความมั่นคงด้านซัพพลายของขวดและฝาสำหรับสินค้าในเครือแล้ว ยังสร้างรายได้จากการขายแก่ลูกค้านอกเครือ เช่น ผู้ผลิตเครื่องดื่มรายอื่นในตลาด ทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นการกระจายพอร์ตธุรกิจที่เสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มสิงห์
7. บริษัท บุญรอดซัพพลายเชน จำกัด
กลุ่มสิงห์ได้ก่อตั้ง บริษัท บุญรอดซัพพลายเชน จำกัด เพื่อดูแลด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจในเครือทั้งหมด ถือเป็นอีกเสาหลักหนึ่งของกลุ่ม ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา บุญรอดซัพพลายเชนได้ร่วมทุนกับ บริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์ 2018 (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโลจิสติกส์จากออสเตรเลีย เปิดตัวเป็นบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด (BRF Logistics) เพื่อยกระดับระบบคลังสินค้าและกระจายสินค้าของเครือสิงห์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ครอบคลุมการขนส่งสินค้าทั่วประเทศและรองรับการส่งออกไปต่างประเทศ
ธุรกิจโลจิสติกส์นี้ช่วยให้การส่งสินค้า (เช่น เบียร์ น้ำดื่ม และสินค้าอื่นๆ) จากโรงงานของบุญรอดฯ ไปยังผู้จัดจำหน่ายและร้านค้าทั่วประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยบุญรอดฯ มีทั้งศูนย์กระจายสินค้าและยานพาหนะขนส่งเป็นของตนเองร่วมกับพันธมิตร ซึ่งนอกจากรองรับสินค้าของกลุ่มแล้วยังอาจให้บริการโลจิสติกส์แก่บุคคลภายนอกได้ในอนาคต

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทราย สก็อต เปิดความจริงค่าตอบแทน จนท. อุทยานฯ เผยเหตุผลทำงานฟรี
- เปิดเงินเดือน ทราย สก๊อต ตีแผ่ค่าตอบแทน จนท.ได้น้อยใจหาย
- ประวัติ ทราย สก๊อต ทายาทสิงห์รุ่น 4 รักษ์ทะเลไทยยิ่งชีพ
อ้างอิง : Singha Corporation