เฉลยแล้ว นักร้องดังเลิกจ้างเดนเซอร์ เป็นธรรมหรือไม่ เปิดฏีกาเทียบชัด

เพจดังเฉลยแล้ว เลิกจ้างแดนเซอร์ ปม “ชู้สาว” เป็นธรรมจริงหรือไม่? เทียบเคียงฎีกาโรงแรมดัง พร้อมเปิดประมวลกฎหมายคุ้มครองแรงงานระบุอะไร
ประเด็นร้อนแรงในแวดวงบันเทิงขณะนี้ คงหนีไม่พ้นกรณีการเลิกจ้าง “แดนเซอร์ X” โดย “นักร้อง” ชื่อดัง ด้วยเหตุผล “มีสัมพันธ์เชิงชู้สาว” ซึ่งจุดประกายคำถามสำคัญทางกฎหมายแรงงานว่า การเลิกจ้างเช่นนี้เป็นธรรมหรือไม่? โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 เพจเฟซบุ๊กชื่อดังด้านกฎหมายอย่าง กฎหมายแรงงาน ได้ออกมาโพสต์วิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวอย่างน่าสนใจ พร้อมยกกรณีศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกา เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณา เพื่อไขข้อข้องใจในประเด็นสุดร้อนนี้

“ชู้” หรือ “ชู้สาว”? สองคำนี้ต่างกันอย่างไร?
ก่อนอื่น เพจกฎหมายแรงงานได้เริ่มต้นด้วยการอธิบายความหมายของคำว่า “ชู้” และ “เป็นชู้” ตามพจนานุกรมและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา
โดยสรุปใจความสำคัญได้ว่า “ชู้” หมายถึง คู่รักในเชิงกามารมณ์ หรือการล่วงประเวณี “เป็นชู้” หมายถึง ชายที่ล่วงประเวณีภรรยาผู้อื่น และ “มีชู้” หมายถึง หญิงที่มีสามีแล้วล่วงประเวณีกับชายอื่น ส่วนคำว่า “ชู้สาว” นั้น หมายถึง ความสัมพันธ์เชิงรักใคร่ในเชิงกามารมณ์
ทั้งนี้ ในบริบทของกรณี “แดนเซอร์ X กับนักร้อง” แม้จะมีการกล่าวถึงความสัมพันธ์เชิง “ชู้สาว” แต่ในทางกฎหมายยังไม่เข้าข่ายคำว่า “ชู้” หรือ “เป็นชู้” อย่างเคร่งครัด เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีพันธะสมรสกับบุคคลที่สาม
ตัวอย่างฎีกาเทียบเคียง กรณีพนักงานโรงแรมมีชู้
อย่างไรก็ตาม เพจกฎหมายแรงงานได้นำเสนอแนวทางการพิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5609/2542 ซึ่งเป็นกรณีที่พนักงานโรงแรมหญิงตำแหน่งผู้จัดการแผนกต้อนรับ มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพนักงานชายที่เป็นช่างประจำโรงแรม แม้ว่าความสัมพันธ์จะเกิดนอกเวลางานและสถานที่ทำงาน
แต่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวของพนักงานหญิง “เป็นการไม่รักษาเกียรติและเป็นการประพฤติชั่ว ซึ่งเป็นการละเมิดต่อศีลธรรมอันดีอย่างร้ายแรง” เนื่องจากส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของโรงแรม และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อพนักงานอื่น
โดยศาลฎีกาในคดีดังกล่าว มองว่าพฤติกรรมของพนักงานหญิงส่งผลกระทบต่อ “การปกครองบังคับบัญชาพนักงานโรงแรม” และ “ชื่อเสียงของโรงแรม” โดยตรง เนื่องจากพนักงานหญิงอยู่ในตำแหน่งบริหารระดับสูง กลับประพฤติตนไม่เหมาะสม เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่พนักงานอื่น ภริยาของพนักงานชายที่เป็นชู้ถึงขั้นร้องเรียนต่อนายจ้าง จนครอบครัวแตกแยก และเป็นที่รับรู้กันในหมู่พนักงานโรงแรม
เทียบชัด 2 กรณี บริบทต่าง วินิจฉัยต่าง
เมื่อนำกรณีฎีกาโรงแรมมาเทียบเคียงกับกรณี “แดนเซอร์ X กับนักร้อง” เพจกฎหมายแรงงานตั้งข้อสังเกตว่า แม้อาชีพ “นักร้อง” และ “แดนเซอร์” จะไม่ใช่อาชีพที่สังคมคาดหวังเรื่องศีลธรรมในระดับเดียวกับ “ครู” “แพทย์” หรือ “นักบวช” แต่หากความสัมพันธ์เชิงชู้สาวนั้น “ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัท” หรือ “ส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกัน” นายจ้างก็อาจมีอำนาจเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากมองว่าเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอยู่ที่การพิสูจน์ “ความร้ายแรงของวินัย” และ “ความเสียหายต่อชื่อเสียง” ซึ่งต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แวดล้อมเป็นรายกรณีไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของวงการบันเทิง ที่ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของศิลปินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจ
เลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ ศาลแรงงานชี้ขาด
ท้ายที่สุด เพจกฎหมายแรงงานทิ้งท้ายว่า ในความเห็นส่วนตัว “น่าจะเลิกจ้างได้” แต่การจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ ยังเป็นข้อถกเถียงที่ต้องพิจารณาถึง “ระเบียบข้อบังคับ” ของบริษัท และ “พฤติการณ์แวดล้อม” อื่น ๆ
ดังนั้น ข้อสรุปว่าการเลิกจ้าง “แดนเซอร์ X” เป็นธรรมหรือไม่ จึงยังเป็นคำถามปลายเปิด ที่อาจต้องรอการพิจารณาและตัดสินของศาลแรงงาน หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชัดเจนจากกรณีนี้คือ ประเด็น “ชู้สาว” ในที่ทำงาน ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเรื่องส่วนตัวอาจส่งผลกระทบต่อเรื่องงานและชื่อเสียงองค์กรได้อย่างคาดไม่ถึง
กรณี “แดนเซอร์ X กับนักร้อง” จึงเป็นอุทาหรณ์เตือนใจคนในวงการบันเทิง และสังคมโดยรวม ให้ตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของประเด็นนี้ และใช้ชีวิตและการทำงานอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น
เปิดข้อกฏหมายเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ทีมข่าวเดอะไทยเกอร์ได้ทำการตรวจสอบข้อกฎหมายเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเพิ่มเติม ว่ามีการอธิบายไว้อย่างไร พบว่า ประเด็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมยังคงเป็นข้อถกเถียงที่ถูกหยิบยกมาพิจารณาอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายจ้างตัดสินใจปลดลูกจ้างออกจากงานโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร หรือมิได้เป็นไปตามความจำเป็นทางธุรกิจ
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หมายถึง การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เช่น การเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือการเลิกจ้างโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ
- พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 118 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด
- พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 119 กำหนดเหตุที่นายจ้างสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เช่น ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ ลูกจ้างทำความเสียหายแก่นายจ้าง เป็นต้น
เหตุการณ์ตัวอย่างการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมที่เห็นได้ชัด เช่น พนักงาน A ถูกไล่ออกเพราะไม่ยอมไปกินข้าวกับหัวหน้างาน, นายบีถูกไล่ออกเพราะโดนใส่ร้ายจากเพื่อนร่วมงาน, มาช้าไป 10 นาทีโดนไล่ออก หรือเจานายไม่ชอบเลยเลิกจ้างไปเฉย ๆ ไม่ให้ผ่านทดลองงานแต่การประเมินผลไม่มีประสิทธิภาพมากพอ เป็นต้น
ค่าเสียหายและค่าชดเชย
หากลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมมีสิทธิได้รับค่าชดเชย และค่าเสียหาย
- ค่าชดเชย คำนวณตามอายุงานและอัตราค่าจ้างสุดท้าย (ดูตัวอย่างอัตราค่าชดเชยได้ในรายงานก่อนหน้า)
- ค่าเสียหาย ศาลแรงงานจะเป็นผู้พิจารณา
สิทธิของลูกจ้าง
- ได้รับแจ้งเหตุผลการเลิกจ้าง
- ได้รับระยะเวลาบอกกล่าวล่วงหน้า
- ได้รับค่าชดเชยและค่าเสียหาย
- ฟ้องร้องต่อศาลแรงงาน
- สิ่งที่ลูกจ้างควรทำเมื่อถูกเลิกจ้าง
- ตั้งสติและรวบรวมหลักฐาน
- เจรจากับนายจ้าง
- ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ฟ้องร้องต่อศาลแรงงาน
การตัดสินของศาลแรงงาน
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทางศาลแล้ว หากลูกจ้างไม่ได้กระทำผิดจริง นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชย และอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้
หากลูกจ้างกระทำความผิดจริงและถูกเลิกจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผลกระทบที่ตามมานั้นอาจส่งผลเสียหลายประการ ประการแรก ลูกจ้างอาจสูญเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าชดเชยตามที่กฎหมายแรงงานกำหนดไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ความผิดนั้นเข้าข่ายมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เช่น การทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้าง นอกเหนือจากค่าชดเชยแล้ว ลูกจ้างอาจไม่ได้รับเงินอื่นๆ ที่เคยได้รับ เช่น ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า โบนัส หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่นายจ้างอาจพิจารณาระงับการจ่ายเนื่องจากเหตุแห่งความผิด
ยิ่งไปกว่านั้น การถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลความผิดอาจส่งผลกระทบต่อประวัติการทำงานของลูกจ้างในระยะยาว ทำให้เสียชื่อเสียงและเป็นอุปสรรคต่อการสมัครงานในอนาคต ในบางกรณีที่ความผิดของลูกจ้างสร้างความเสียหายแก่นายจ้าง นายจ้างอาจพิจารณาดำเนินคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้อีกด้วย
ทั้งนี้ การถูกขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของความผิดและนโยบายของแต่ละองค์กร โดยเฉพาะความผิดร้ายแรงเช่นการทุจริตหรือยักยอกทรัพย์ อาจนำไปสู่การถูกขึ้นบัญชีดำ ทำให้หมดโอกาสในการสมัครงานในตำแหน่งเดิมหรือบริษัทในเครือได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงหลักการทั่วไป การพิจารณากรณีพิพาทแรงงานจริง ควรคำนึงถึงข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงานเพื่อความชัดเจน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- สรุปดราม่า ลำไยไหทองคำ เลิก ปุ้ย L.กฮ. ซุ่มคบ บอส แดนเซอร์ โต้ ‘จ่ายเงินแลกเซ็กซ์’
- ลำไย ไหทองคำ โชว์สปิริตสู้ดราม่า เดินสายขึ้นคอนเสิร์ต ปากยิ้ม แต่ตาบวมหนัก
- เปิดรายได้ ไหทองคำ เรคคอร์ด โกยกำไรสูงสุด 2.3 ล้าน ธุรกิจโตต่อเนื่อง