สุขภาพและการแพทย์

ไขมันพอกตับ อันตรายกว่าที่คิด เสี่ยงโรคร้ายเรื้อรัง รู้วิธีป้องกัน ก่อนสายไป

‘หมอเจด’ ออกโรงเตือน “ไขมันพอกตับ” ไม่ใช่เรื่องเล่น อาจได้โรคร้ายเป็นของแถม ชี้ภัยเงียบ กระตุ้นคอเรสเตอรอลสูง เสี่ยงหลอดเลือดตีบ บอกวิธีป้องกันง่าย ๆ แค่ทำตามนี้

“หมอเจด” หรือ นายแพทย์ เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เตือนภัยสุขภาพ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ครั้งนี้ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการ “ไขมันพอกตับ” ที่อาจลุกลามไปเป็นโรคเรื้อรังอื่น ๆ ทำร่างกายเสื่อมโทรม เพิ่มอัตราการเกิดโรคมะเร็ง หนำซ้ำยังเป็นโรคที่มากับความเงียบไม่แสดงอาการในช่วงแรกอีกด้วย วันนี้เราจะพอไปทำความรู้จักกับไขมันตัวร้ายที่ทำลายตับของคุณอย่างลึกซึ้งในบทความนี้

Advertisements
หมอเจด เตือนอันตรายจากอาการไขมันพอกตับ
ภาพจาก : Faceook หมอเจด

ไขมันพอกตับเกิดจากอะไร?

ไขมันพอกตับ (NAFLD) คือภาวะที่มีไขมันเกาะอยู่ในตับเกิน 5-10% โดยสาเหตุไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่เกิดจากอาหารที่หลายคนบริโภคเป็นะประจำ เช่น แป้ง และน้ำตาล รวมถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่มีการขยับร่างกายน้อยเกินไป มีภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดไขมันพอกตับได้

โดยปกติแล้ว “ตับ” เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่ทำงานหนัก เนื่องจากมีหลายหน้าที่ ทั้งช่วยย่อยอาหาร กำจัดสารพิษ และควบคุมพลังงานในร่างกาย เมื่อมีไขมันไปเกาะบริเวณตับในปริมาณมาก ตับก็จะเริ่มมีปัญหา อาจเกิดอาการอักเสบ หรือตับแข็งได้

ทั้งนี้ ไขมันพอกตับ ไม่ได้จบแค่อาการตับอักเสบ ถ้าปล่อยไว้นานเกินไปอาจมีอาการตับแข็ง และไปจบที่โรคร้ายอย่าง ‘มะเร็งตับ’ ได้ เนื่องจากคนที่มีไขมันพอกตับมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติหลายเท่า โดยเฉพาะถ้าตับเริ่มเป็นพังผืดแล้ว ความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มขึ้น โดยสิ่งที่ต้องระวังคือมะเร็งตับไม่แสดงอาการในระยะแรก กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวอีกทีก็อยู่ในขั้นที่รักษาหายได้ยากแล้ว

สาเหตุการเกิดไขมันพอกตับ

อันตรายของ “ไขมันพอกตับ” เสี่ยงโรคร้ายไม่รู้ตัว

แพทย์เตือนว่าคนที่เป็นไขมันพอกตับ มีโอกาสเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 สูงกว่าคนปกติ 2-5 เท่า เนื่องจากไขมันที่สะสมในตับทำให้ร่างกายมีอาการ “ดื้ออินซูลิน” ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายดื้อต่ออินซูลิน น้ำตาลในเลือดก็จะมีปริมาณสูงขึ้น และป่วยเป้นเบาหวานในเวลาต่อมาได้

Advertisements

นอกจากไขมันพอกตับจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ยังเสี่ยงต่อการเกิดไตวาย ประสาทเสื่อม แผลเบาหวาน และตาบอดด้วย สาเหตุเนื่องจากโรคเบาหวานอันตรายกว่าที่คิด หากไม่ดูแลร่างกาย และควบคุมการกินอาหาร จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมาก ขณะเดียวกันก็ได้รับผลกระทบจากไขมันที่พอกตับอยู่ด้วย จึงเป็นการป่วยซ้ำซ้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

หลายคนอาจคิดว่า ‘ไขมันพอกตับ’ น่าจะกระทบแค่กับตับเท่านั้น แต่ความจริงแล้วภาวะเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย เพราะไขมันที่พอกอยู่ในตับ เข้าไปกระตุ้นคอเลสเตอรอลในเลือดให้สูงขึ้น ไขมันดี (HDL) จึงลดลง ขณะที่ไขมันเลว (LDL) เพิ่มปริมาณมากขึ้น สุดท้ายก็เกิดอาการหลอดเลือดอุดตัน เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ เพิ่มอัตราความดันโลหิตสูงจนทำให้หลอดเลือดสมองแตก และอัมพาตครึ่งซีกอย่างไม่ทันตั้งตัว

วิธีป้องกันไขมันพอกตับ

3 วิธีป้องกันไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ สามารถป้องกันได้ไม่ยาก เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3 ข้อนี้ในระยะยาว ก็จะทำให้ความเสี่ยงในการป่วยลดลง และมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย

1. หยุดเติมไขมันให้ตับ

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การคุมอาหาร” หมอแนะนำว่าหากไม่อยากเป็นไขมันพอกตับ ควรลดการกินน้ำตาล ขนมหวาน และแป้งขัดขาวต่าง ๆ เปลี่ยนมากินข้าวกล้อง เพิ่มโปรตีนดี ๆ เช่น ปลา ไข่ ถั่ว เข้าสู่ร่างกาย และพยายามออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ 5-10% ของน้ำหนักตัว ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงเกิดเบาหวานด้วย เพียงเท่านี้สุขภาพตับก็จะดีขึ้นแล้ว

2. เพิ่มการเอาออก เผาผลาญไขมันสะสม

เมื่อเริ่มควบคุมสิ่งที่กินเข้าไปได้แล้ว อีกทางเลือกหนึ่งคือ “การออกกำลังกาย” ซึ่งหมอเจดแนะนำว่าควรคาร์ดิโอ 150 นาที ต่อสัปดาห์ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ เช่น เดินเร็ว วิ่ง และปั่นจักรยาน ส่วนใครที่สะดวกไปฟิตเนสก็สามารถเวทเทรนนิ่งเพื่อช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อได้เช่นกัน

3. ลดการอักเสบของตับ ป้องกันตับเสียหาย

สิ่งที่หมอห้ามเด็ดขาดคือการกินของทอด ของมัน ไขมันทรานส์ อาหารจานด่วนพวกนี้ทำร้ายตับโดยตรง ควรเลิกบริโภคเท่าที่ทำได้ หันมาดื่มน้ำเยอะ ๆ ช่วยขับของเสียออกจากตับ กินไขมันดี เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่ว เพื่อลดไขมันเลวในตับ หรือใช้อาหารเสริม อาทิ โคลัน , โอเมก้า 3 , วิตามีนอี , แอสตาแซนธิน และซิลิมาริน เป็นตัวช่วยลดการอักเสบของตับได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อฟังคำแนะนำก่อนเริ่มกินทุกครั้ง เพื่อป้องกันผลเสียและความเสี่ยงสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว.

อ้างอิง : Faceook หมอเจด

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Woralada

นักเขียนเรื่องไลฟ์สไตล์ ข่าวบันเทิง และประเด็นการเมือง เวลาว่างชอบดูซีรีส์ อ่านวรรณกรรม และไปคอนเสิร์ตเพื่อต่อพลังงานชีวิต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button