สุขภาพและการแพทย์

อาหารดี สำหรับคนป่วย “ไขมันพอกตับ” ปรับพฤติกรรมอ้วน เลือกกินไขมันดี

เป้าหมายหลักในการรักษาภาวะไขมันสะสมพอกในตับ คือมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ทำได้ด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย แม้ว่ายา resmetirom (Rezdiffra) จะช่วยรักษาได้ แต่เราก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ควบคู่ไปด้วย แล้วเราควรกินอะไรดีล่ะ?

ทั่วไปแล้ว ยิ่งกินอาหารจากพืชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อตับ เพราะจะช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นและช่วยลดน้ำหนักด้วย เนื่องจากแต่ละคนมีความแตกต่างกัน แนะนำให้ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนการกินที่เหมาะสมกับคุณ

อาหารบำรุงตับ

เบื้องต้น อาหารที่ช่วยบำรุงตับ แนะนำให้กินได้แก่ ไขมันดี สารต้านอนุมูลอิสระ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ตัวอย่างอาหารที่ควรกิน ได้แก่

  • ปลาและอาหารทะเล
  • ผักและผลไม้ (เน้นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่)
  • ธัญพืชไม่ขัดสี (เช่น ข้าวกล้อง ลูกเดือย)
  • ถั่วเปลือกแข็ง (เช่น อัลมอนด์)
  • น้ำมันมะกอก
  • ผักใบเขียว
  • อะโวคาโด
  • ถั่วชนิดต่าง ๆ

เลือกไขมันให้เป็น

เซลล์ของเราใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงาน ฮอร์โมนอินซูลินจะช่วยนำกลูโคสจากอาหารที่ย่อยแล้วเข้าสู่เซลล์ ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับมักมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หมายความว่าร่างกายผลิตอินซูลินได้ แต่ใช้ได้ไม่ดี ทำให้กลูโคสสะสมในเลือด และตับเปลี่ยนเป็นไขมัน

ไขมันบางชนิดในอาหารสามารถช่วยให้ร่างกายใช้อินซูลินได้ดีขึ้น นั่นหมายความว่าเซลล์สามารถรับกลูโคสได้ และตับไม่จำเป็นต้องสร้างและสะสมไขมัน เราควรได้รับไขมันเหล่านี้ให้มากขึ้น ได้แก่

  • กรดไขมันโอเมก้า 3 พบใน ปลา น้ำมันปลา น้ำมันพืช ถั่ว (โดยเฉพาะวอลนัท) เมล็ดแฟลกซ์ และผักใบเขียว
  • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ในพืช เช่น มะกอก ถั่วเปลือกแข็ง อะโวคาโด

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนเป็นไขมันพอกตับ

หลีกเลี่ยง ไขมันอิ่มตัว ซึ่งนำไปสู่การสะสมของไขมันในตับมากขึ้น ได้แก่

  • เนื้อสัตว์ติดมัน เช่น สันคอหมู หมูติดมัน หมูสามชั้น ไก่ติดหนัง
  • ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็ม เช่น ชีส เนย โยเกิร์ต (ควรเลือกแบบไขมันต่ำ)
  • ขนมอบ ของทอด อาหารที่ใช้น้ำมันปาล์มหรือน้ำมันมะพร้าว
  • ของหวาน น้ำตาล น้ำอัดลม และอาหารอื่น ๆ ที่มีน้ำตาลสูง รวมถึงน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง

สารต้านอนุมูลอิสระและอาหารเสริม

เซลล์จะถูกทำลายเมื่อสารอาหารไม่สลายตัวอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่การสะสมไขมันในตับ แต่สารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายนี้ได้ เราจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากไหน?

  • กาแฟ (ดำ ไม่ใส่น้ำตาล)
  • ชาเขียว
  • กระเทียมสด
  • ผักและผลไม้ (เน้นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่)
  • วิตามินอี (พบมากในเมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ น้ำมันพืช)

นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาอาหารเสริมเพื่อดูว่าอาจเป็นผลดีต่อตับ ได้แก่

  • โกจิเบอร์รี่ อาจช่วยลดขนาดรอบเอว แต่เรายังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม
  • เรสเวอราทรอล อาจช่วยควบคุมการอักเสบ แต่ผลการศึกษายังขัดแย้งกัน
  • ซีลีเนียม เป็นแร่ธาตุที่พบในถั่วบราซิล ปลาทูน่า และหอยนางรม
  • มิลค์ทิสเซิล ผลการวิจัยยังไม่ชัดเจนว่าได้ผลจริงหรือไม่
  • เบอร์เบอรีน จากการศึกษาเบื้องต้น พบว่าช่วยเรื่องคอเลสเตอรอล การทำงานของตับ และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

ข้อควรระวัง ปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเสริมใด ๆ เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานของยาที่ใช้อยู่ หรืออาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้

วิตามินและแร่ธาตุ

ไม่มีวิตามินหรือแร่ธาตุใดที่มีประโยชน์อย่างมากต่อตับอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ไม่เสียหายที่จะเพิ่มสิ่งเหล่านี้ในอาหาร

  • วิตามินดี ระดับต่ำอาจมีบทบาทในการเกิดภาวะไขมันพอกตับที่รุนแรงขึ้น ร่างกายสร้างวิตามินดีเมื่อเราโดนแสงแดด นอกจากนี้ยังพบได้ในผลิตภัณฑ์นมบางชนิด (ควรเลือกแบบไขมันต่ำ)
  • โพแทสเซียม ระดับต่ำอาจเชื่อมโยงกับภาวะไขมันพอกตับชนิด non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) ซึ่งพบมากในคนไทย พบโพแทสเซียมในปลา (เช่น ปลาค็อด ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน) ผัก (เช่น บร็อคโคลี ถั่วลันเตา มันเทศ) ผลไม้ (เช่น กล้วย กีวี แอปริคอต) และผลิตภัณฑ์นม (ควรเลือกแบบไขมันต่ำ)
  • บีเทน อาจช่วยปกป้องตับจากการสะสมไขมัน แต่ผลการวิจัยยังไม่ชัดเจน พบได้ในจมูกข้าวสาลีและกุ้ง

หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์

ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เลยหากภาวะไขมันพอกตับของคุณเกิดจากการดื่มหนัก เพราะอาจนำไปสู่ความเสียหายของตับที่ร้ายแรงกว่าเดิม หากคุณมีภาวะไขมันพอกตับชนิด NAFLD อาจไม่เป็นไรที่จะดื่มเป็นครั้งคราว แต่ไม่ควรเกินเดือนละครั้ง และควรปรึกษาแพทย์ก่อน

ลดน้ำหนัก

การลดน้ำหนักเพียง 5% ของน้ำหนักตัวอาจช่วยลดไขมันในตับได้ การลดน้ำหนัก 7% ถึง 10% จะช่วยลดการอักเสบและโอกาสการบาดเจ็บของเซลล์ตับ อาจถึงขั้นฟื้นฟูความเสียหายได้บ้าง ค่อย ๆ ลดน้ำหนักทีละน้อย สัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัมกำลังดี การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วอาจทำให้อาการแย่ลงได้ หากคุณไม่สามารถลดน้ำหนักได้ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกในการผ่าตัดลดน้ำหนัก

ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายแบบแอโรบิกสามารถลดปริมาณไขมันในตับได้ การออกกำลังกายหนักอาจช่วยลดการอักเสบได้ การฝึกความแข็งแรงหรือการยกน้ำหนักก็สามารถช่วยปรับปรุงภาวะไขมันพอกตับได้เช่นกัน ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลางถึงหนักอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 ถึง 60 นาที และฝึกความแข็งแรงระดับปานกลางถึงหนัก 3 วันต่อสัปดาห์

ควบคุมเบาหวานและคอเลสเตอรอล

ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการจัดการโรคเบาหวาน ทานยาตามที่สั่ง และตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดอย่างใกล้ชิด การดูแลตับให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารจากพืชเป็นหลัก ออก

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button