6 สัญญาณเตือน อาการสุ่มเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แพทย์แนะนำ มักพบในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวส่วนมากมักไม่รู้ตัวจนโรคลุกลามไปไกล
ปัจจุบันอัตราการเกิด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ในกลุ่มคนหนุ่มสาวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การวินิจฉัยปี 2562 พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีอายุต่ำกว่า 55 ปี เพิ่มขึ้น จาก 11% เมื่อเทียบกับปี 2538 ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าตกใจ โรคดังกล่าวมีอัตราการเสียชีวิตสูง เนื่องจากผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักจะได้รับการวินิจฉัยในระยะล่าช้า ทำให้การรักษามีความยากขึ้น โดยคาดว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่จะทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 53,000 รายในสหรัฐฯ ในปีนี้
อย่างไรก็ตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำ 6 สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งลำไส้ที่คนวัยหนุ่มสาวควรเฝ้าระวัง
1. เลือดออกทางทวารหนัก
งานวิจัยล่าสุดพบว่าสัญญาณเตือนที่พบบ่อยที่สุดสำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักคือเลือดออกทางทวารหนัก โดยผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเกือบครึ่งหนึ่งรายงานว่าพบเลือดบนกระดาษชำระหรือในชักโครก
ดร. อันเดรีย เซอร์เซก (Andrea Cercek) ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งทางเดินอาหารที่ศูนย์มะเร็ง Memorial Sloan Kettering ในนิวยอร์ก กล่าวว่าในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่อายุน้อย เนื้องอกมักจะเกิดขึ้นที่ส่วนสุดท้ายของลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก “เลือดจากเนื้องอกเหล่านี้เดินทางได้สั้นกว่า จึงออกมาเป็นสีแดงสด ในขณะที่เลือดที่อยู่ในระบบย่อยอาหารมาระยะหนึ่งอาจดูเกือบดำ” แม้ว่าเลือดอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่
แต่สาเหตุอื่น ๆ ของเลือดออกทางทวารหนัก ได้แก่ ลำไส้ตรง รอยแยกทวารหนัก และริดสีดวงทวาร ไม่ว่าในกรณีใด เลือดออกประเภทนี้ควรได้รับการดูแลและประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
2. การขับถ่ายไม่ปกติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งระบบทางเดินอาหา ติอาโก้ เบียชี่ (Tiago Biachi) จาก Moffitt Cancer Center ในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา กล่าวว่า “มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนมากมักเริ่มจากติ่งเนื้อเล็ก ๆ ในลำไส้ที่ หรือ ทวารหนัก ผู้ป่วยจะมีอาการท้องผูกบ่อย ๆ ท้องเสีย หรือ อุจจาระลีบเป็นลำเล็ก
ดร.ไมเคิล เชคคินี (Michael Cecchini) ผู้อำนวยการร่วมโครงการลำไส้ใหญ่และทวารหนักของศูนย์มะเร็งทางเดินอาหาร และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยาของศูนย์มะเร็งเห็นด้วยกับข้อมูลเชิงลึกนี้ โดยเขากล่าวว่าผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนใหญ่มักจะมีอุจจาระเหลวมาก
3. ปวดท้องหรือปวดเกร็ง
อาการปวดท้องเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการปวดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอาหาร ถือเป็นอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม อาการปวดดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จากอาการอื่น ๆ เช่น ปวดประจำเดือน นิ่วในไต อาหารไม่ย่อย อาการเสียดท้อง IBS หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ผู้อำนวยการคลินิกป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งทางเดินอาหารที่มหาวิทยาลัยชิคาโก บอกกับว่า “ควรพบแพทย์หากมีอาการปวดบริเวณหน้าท้องอย่างต่อเนื่องและหาสาเหตุไม่ได้”
4. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
จากการศึกษาล่าสุดพบว่าคนหนุ่มสาวร้อยละ 15 รายงานว่ามีอาการเบื่ออาหารเป็นเวลา 4 ถึง 6 เดือนก่อนได้รับการวินิจฉัย น้ำหนักตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ภายในระยะเวลา 6 เดือน แม้ว่าจะมีพฤติกรรมการกินอาหารแบบเดิมหรือมากกว่าเดิม นอกจากนี้อาการดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน IBD โรค celiac และไทรอยด์ทำงานมากเกินไป อาจทำให้สูญเสียน้ำหนักได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา
5. อาการโลหิตจาง
เลือดออกจากในลำไส้ใหญ่และทวารหนักอาจนำไปสู่โรคโลหิตจางในที่สุด ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดแดงมีสุขภาพไม่ดี ร่างกายต้องการธาตุเหล็กเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยในการผลิตพลังงาน การตอบสนองของภูมิคุ้มกัน และการทำงานของสมอง อาการของการขาดธาตุเหล็ก ได้แก่ ความเหนื่อยล้า มือและเท้าเย็น ผมร่วง เล็บเปราะ ปัญหาทางสมอง เช่น สมองมึนงง ประสิทธิภาพการเล่นกีฬาลดลง หายใจถี่ อยากกินอาหารขยะ ปวดหัว และนอนไม่หลับ
ผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี มักมีปริมาณธาตุเหล็กไม่เพียงพอและมีภาวะโลหิตจาง ที่เกิดจากประจำเดือนผิดปกติ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้น ก็อาจบ่งบอกถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
6. ความเหนื่อยล้าแบบไม่มีสาเหตุ
มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ มักจะมาพร้อมกับความรู้สึกอ่อนล้าอย่างรุนแรงผู้ป่วยอายุน้อยประมาณ 8% รายงานว่ามีอาการอ่อนล้าในช่วงหลายเดือนก่อนได้รับการวินิจฉัย อาจเกิดจากการที่มีเลือดออกในลำไส้ ปนออกมากับอุจจาระ หากเสียเลือดจากการขับถ่ายมากอาจมีภาวะซีด และโลหิตจางร่วมด้วย และยิ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียอ่อนแรงต่อเนื่องมากขึ้นอีก
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักจำนวนมากมักได้รับการวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคอื่น เช่น ริดสีดวงทวารหรือลำไส้แปรปรวนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ป่วยขอรับการตรวจแบบส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ หากตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มแรกจะสามารถรักษาไ้อย่างทันท่วงที
“การตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นนั้นมีความสำคัญ โดยการตรวจคัดกรองหรือแจ้งเตือนอาการบางอย่างเหล่านี้ เพื่อให้เราสามารถวินิจฉัยมะเร็งได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ในที่สุด” ดร. เชคคินีกล่าวว่า “ยังคงรักษาผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ได้ทุกปี”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง : nypost
