เชื้อปรสิตในน้ำ คืออะไร ภัยร้ายเงียบใกล้ตัว ติดต่อผ่านอะไรบ้าง
รู้ไว้ ห่างภัยดีกว่า “เชื้อปรสิตในน้ำ” อันตรายใกล้ตัว โปรโตซัวตัวร้ายก่อโรคผ่านการดื่มน้ำและสัมผัส เชื้อโรคบางชนิดอันตรายถึงชีวิต
สืบจากข่าวลูกบ้านคอนโดหรูย่านลาดพร้าวติดเชื้อปรสิตในน้ำ (อะแคนทามีบา และไมโครสปอริเดีย) จนตาแดงก่ำ ทำให้เกิดเป็นกระแสโซเชียลถึงการระมัดระวังเหล่าเชื้อโรคจากแหล่งน้ำที่เราใช้บริโภคและอุปโภคเป็นประจำ ในบทความนี้ทีมงานไทยเกอร์จึงขอพาท่านผู้อ่านไปรู้จัก 6 เชื้อปรสิตในน้ำ ที่พบได้บ่อยทั้งในน้ำประปาและทั่วไป ว่าคืออะไร ก่อโรคอะไรบ้าง และจะป้องกันได้อย่างไร
เชื้อปรสิตในน้ำ มีอะไรบ้าง?
เชื้อปรสิตในน้ำ คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้ำ และสามารถทำให้เกิดโรคในมนุษย์และสัตว์ได้ เชื้อปรสิตเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น การดื่มน้ำที่ปนเปื้อน การสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อน หรือการรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สุก ซึ่งมีเชื้อปรสิตปนเปื้อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นหนอนพยาธิ โปรโตซัว หรือเชื้อโรคแบคทีเรีย โดยสามารถยกตัวอย่างได้ดังนี้
1. เอนทามีบา ฮิสโทไลติกา
เอนทามีบา ฮิสโทไลติกา (Entamoeba histolytica) “เชื้อบิดชนิดมีตัว” เป็นเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ที่ก่อให้เกิดโรค “บิดอะมีบาในลำไส้” หรือเรียกสั้น ๆ ว่าโรคบิดมีตัว โดยในระยะอาการขั้นเฉียบพลันจะทำให้ผู้ป่วยอาการปวดท้อง ปวดเบ่ง ถ่ายอุจจาระเหลวมีมูกปนเลือดและกลิ่นเหม็นเน่า อีกทั้งอาจทำลายผนังลำไส้ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้องได้ด้วย และสามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ ปอด สมอง ฯลฯ
- การติดต่อ : ติดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีซีสต์ระยะติดต่อปนเปื้อน ซึ่งเชื้อระยะซีสต์ นี้ไม่ถูกทำลายด้วยกระบวนการทำน้ำประปา
- การป้องกัน : ให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด รวมถึงดื่มน้ำที่กรองหรือต้มแล้วจะช่วยป้องกันโรคได้ พร้อมถ่ายอุจจาระให้ถูกสุขลักษณะ และการรักษาอนามัยส่วนบุคคลให้ดี
2. ไกรเดีย แลมเบลีย (Giardia lamblia)
Giardia lamblia เป็นเชื้อปรสิตที่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็ก ที่ก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ส่งผลให้มีอาการท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และในระยะเรื้อรังผู้ป่วยจะมีอาการท้องเสียเรื้อรัง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ มีไขมันปนมูก
- การติดต่อ : ติดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีซีสต์ระยะติดต่อปนเปื้อน ซึ่งเชื้อระยะซีสต์ นี้ไม่ถูกทำลายด้วยกระบวนการทำน้ำประปา โดยเฉพาะหากมีบาดแผลในช่องปากให้ระวังเป็นพิเศษ
- การป้องกัน : การรับประทาน อาหารที่ปรุงสุกและสะอาด ดื่มน้ำที่กรองแล้วหรือต้มให้เดือดจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ รวมทั้งถ่ายอุจจาระให้ถูกสุขลักษณะ กําจัดอุจจาระตามหลักสุขาภิบาล
3. เนเกลเรีย ฟาวเลรี
เนเกลเรีย ฟาวเลรี (Naegleria fowleri) เป็นโปรโตซัวชนิดพิเศษที่จะดำรงชีวิตเป็นอิสระ โดยอาศัยอยู่ตาม ตามดิน โคลนเลน และแหล่งน้ำ ยกเว้นน้ำกร่อยและน้ำทะเล ซึ่งมักเข้าสู่ร่างกายจากการสำลักน้ำที่ปนเปื้อนเข้าทางจมูก ก่อให้เกิดโรคสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยมักมีระยะฟักตัวหลังการติดเชื้อราว 3 -7 วัน ที่จะมีลักษณะอาการ คัดจมูก เจ็บคอ การได้กลิ่นเสียไปทั่ว ปวดศีรษะอย่างรุนแรง มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง หลังแข็ง สับสน ชัก ไม่รู้สึกตัว และมักเสียชีวิตภายใน 1 สัปดาห์
- การติดต่อ : ปรสิตเข้าสู่ร่างกายโดยการสำลักน้ำทางจมูก
- การป้องกัน : หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือเล่นน้ำในแหล่งน้ำขัง หรือน้ำจากโรงงานอุตสาหกรรมและระวังการสำลักน้ำ
4. คริปโตสปอริเดียม
คริปโตสปอริเดียม (Cryptosporidium parvum) เป็นโปรโตซัวอาศัยที่ลำไส้ เชื้อระยะ oocyst มีรูปร่างกลม ผนังหนา ภายในประกอบด้วยเซลล์รูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว จำนวน 4 เซลล์ ที่ทำให้ผุ้ติดเชื้อเกิดโรคอุจจาระร่วง โดยมีอาการถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติอาการท้องเสียอาจหายได้เอง ส่วนการติดเชื้อในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงเรื้อรังร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดอย่างมาก
- การติดต่อ : ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีเชื้อระยะ oocyst ปนเปื้อน
- การป้องกัน : ดื่มน้ำที่ต้มเดือดหรือผ่านการกรองแล้ว และรับประทานอาหารที่สุกและสะอาด
5. อะแคนทามีบา
อะแครทามีบา (Acanthamoeba spp) จะอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติอย่าง ดิน โคลนเลน แบบอิสระ ที่ลักษณะของเชื้อเท้าเทียมที่มีลักษณะคล้ายหนามทำให้เคลื่อนที่ได้ช้า หรือหากสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นระยะซีสต์ที่มีรูปร่างค่อนข้างกลมและผนังหนา ซึ่งอาการของโรคจะแตกต่างออกไปตามอวัยวะที่ติดเชื้อ โดยหากติดเชื้อชนิดที่ตา ซึ่งมักพบได้ในคนที่ใส่คอนแทกเลนส์ จะมีอาการแผลที่กระจกตา ตาแดง เคืองตา ตามัว กลัวแสง และปวดตาอย่างมาก
ส่วนการติดเชื้อที่สมอง ทําให้เกิดโรคสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายการมีเนื้องอกในสมอง เช่น อาการแขนหรือขาอ่อนแรง เป็นต้น
- การติดต่อ : ติดผ่านรอนบาดแผลบนร่างกาย เช่น ช่องปาก กระจกตา ผิวหนัง หรือการหายใจ ที่จะทำให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจนกระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ
- การป้องกัน : ผู้ใช้คอนแทกเลนส์ควรทำความสะอาดเลนส์ด้วยน้ำยาที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้ว และไม่ควรใส่คอนแทกเลนส์ในขณะว่ายน้ำหรือใส่ขณะนอนหลับ
6. ไมโครสปอริดิโอซิส (Microsporiodiosis)
ไมโครสปอริดิโอซิสจะทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในร่างกายมนุษย์ โดยจะมีลักษณะอาการต่างออกไปตามอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น ท้องร่วงเรื้อรัง, ถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีอักเสบ, กระจกตาอักเสบและเป็นแผล, กล้ามเนื้ออักเสบ, กระจกตาและเยื่อบุตาอักเสบ, โพรงจมูกอักเสบ ฯลฯ
ส่วนการติดเชื้อที่สมอง ทําให้เกิดโรคสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มักพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายการมีเนื้องอกในสมอง เช่น อาการแขนหรือขาอ่อนแรง เป็นต้น
- การติดต่อ : ติดผ่านการสัมผัสน้ำเข้าบาดแผลหรือเยื่อบุในร่างกาย เช่นบาดแผลในช่องปาก
- การป้องกัน : ควรหมั่นตรวจล้างตัวด้วยน้ำสะอาดหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสแหล่งน้ำสกปรก และการบริโภคน้ำดื่ม
อ้างอิง: ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง