ข่าว

‘บิ๊กโจ๊ก’ ยื่นฟ้อง ‘พล.ต.อ.ธนา-พนักงานสอบสวน’ เชื่อนายก ‘เศรษฐา’ ถูกหลอก

บิ๊กโจ๊ก ยื่นฟ้องระนาว พล.ต.อ.ธนา และ พนักงานสอบสวน 200 คน เชื่อนายกเศรษฐาถูกหลอกให้เซ็นรับทราบ เจตนาหวังตำแหน่ง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกครั้ง โดยคราวนี้ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวนทั้งหมดกว่า 200 คน ในความผิดตามมาตรา 157 เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา(22 เม.ย.) ตนได้ร้องขอให้ป.ป.ช. ตรวจสอบว่าคณะพนักงานสอบสวนที่ไม่มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนทั้งสน.เตาปูนและสน.ทุ่งมหาเมฆ จึงถือว่าได้มาโดยมิชอบทั้งหมดไม่สามารถนำเข้าสู่สำนวนได้ ส่วนตัวยังไม่ได้ลงรายละเอียดในเนื้อหาสำนวน ผิดถูกค่อยไปว่ากันไปแต่ต้องดูว่ามีอำนาจหรือไม่

วันนี้จึงเดินทางมายื่นร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนของคดีนี้ และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด จำนวนกว่า 200 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา อยากขอเตือนตำรวจหลายๆนายว่าคำสั่งของผู้บังคับบัญชา หากกังวลว่ามีคำสั่งแล้วไม่ทำจะโดนย้าย อยากบอกว่าถ้าย้ายไปก็ย้ายกลับได้ แต่หากถูกดำเนินคดีอาญาต้องติดคุก ซึ่งบางคนที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ อาจจะต้องใช้เวลาจากนั้นในการต่อสู้ทางคดีไปตลอด ซึ่งหากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว ก็ต้องออกจากราชการไว้ก่อน อย่าทำเป็นเล่น เพราะกระบวนการตรวจสอบของป.ป.ช.มีความรอบคอบ เป็นธรรมแน่นอน

ส่วนการตรวจสอบ เส้นเงินของสน.เตาปูนและสน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งเป็นเส้นเงินเดียวกัน มูลค่ารวมเกิน 300 ล้านบาท แต่กลับไม่ส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมายว่า ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจเปรียบเสมือนพยาบาลไม่ใช่แพทย์หากทำคลอดเองไม่ได้ อย่างนั้นตนขอแนะนำว่าให้พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องทุกคนมาให้การกับทางป.ป.ช. และบอกว่าใครเป็นคนสั่งการ เป็นทางเดียวที่จะรอด ตนเข้าใจว่าวันนี้ทุกคนเครียดหมด ยืนยันว่านี่ไม่ใช่การข่มขู่เป็นเพียงการเตือนเท่านั้น ตนไม่ได้หน้าด้าน หากผิดพร้อมออกทันที

บิ๊กโจ๊ก ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ถอนคำร้องที่ขอให้ป.ป.ช. ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากกรณีแต่งตั้งผบ.ตร. และส่งตัวตนกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ตนได้ตรวจสอบแล้วพบว่าพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้ยื่นตรวจสอบไปแล้ว แล้วอยู่ในกระบวนการของป.ป.ช. ซึ่งดำเนินการไปไกลแล้ว หากยื่นใหม่ถือเป็นการยื่นซ้ำและทำให้การสอบสวนยิ่งล่าช้า ตนจึงได้ถอนคำร้อง และส่วนตัวเชื่อว่านายกรัฐมนตรีถูกหลอกให้เซ็นรับทราบ เพราะคนที่อยู่ในกระบวนการไม่จำเป็นต้องมีส่วนรู้เห็นเสมอไป โดยนายกรัฐมนตรี อาจจะไม่ได้มีเจตนาในการกระทำความผิด ซึ่งคนที่หลอกหวังเอาแต่ตำแหน่ง หวังเป็นผบ.ตร. หลอกได้ทั้งนายกฯ และลูกน้อง ไม่อายพระบ้างหรืออย่างไร เห็นเพียงประโยชน์ส่วนตน ไม่เห็นถึงลูกน้อง ในส่วนนายกรัฐมนตรีเข้าใจว่าการเป็นส่งตัวตนกลับไปเพื่อทำงาน แต่ไหนได้เป็นการมาหลอกให้ส่งตัวตอนเที่ยงวัน ซึ่งทำเป็นกระบวนการหวัง สกัดตนไม่ให้เป็นผบ.ตร. โดยคนที่อยู่ในขบวนการคือคนที่ไปพบ นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นคนสุดท้ายก่อนจะมีคำสั่ง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พรุ่งนี้(25 เม.ย.)ตนจะมาอธิบายอีกครั้งว่าถูกออกจากราชการได้อย่างไร ที่ตนรู้เพราะได้โทรศัพท์ไปกองวินัยฯ จึงรู้มีการเตรียม การล่วงหน้า 2 วัน พร้อมยืนยันว่า ส่วนตัวไม่ได้พูดคุยกับนายกฯ แต่อย่างใด แต่เป็นการตรวจสอบด้วยตนเอง การออกมาครั้งนี้ถือเป็นการดับเครื่องชนเพราะต้องการความยุติธรรมคืนเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะหากไม่ปกป้องตัวเองไม่ได้จะปกป้องประชาชนได้อย่างไร

ส่วนที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการปลดป้ายชื่อหน้าห้องและเอารูปออกจากทำเนียบผู้บังคับบัญชา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มองว่าเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดและเป็นการทำตามขั้นตอนไม่ได้มองว่าเป็นลางร้าย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวว่า ไม่ขอพูดถึงว่าเอกสารคัดค้านกรรมการป.ป.ช. ว่าหลุดออกมาได้ยังไง แต่ก็ยอมรับว่าเป็นไปตามเอกสาร และอยากบอกว่า คนทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต้องมีความศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือได้ เพราะตำแหน่งอยู่ไม่นาน แต่ตำนานอยู่นานความจริงคือความจริง บางคนรู้ที่ไปแต่ลืมที่มา

พรุ่งนี้ (25 เม.ย.) ตนจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามนั้นเดินทางไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริต

เมื่อถามผู้สื่อข่าวถามว่ายังมีความหวังว่านายกรัฐมนตรีจะช่วยในการเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าตนไม่ได้ คาดหวังว่าใครจะมาช่วย ตอนนี้ทางออกของตนคือเป็นกระบวนการยุติธรรม ส่วนตนจะมีโอกาสเป็นผบ.ตร.หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหากตำแหน่งผบ.ตร.มาจากการเลือกตั้งอย่างไรประชาชนก็จะต้องเริ่มต้นแน่นอน พบประชาชนมองว่าตนเปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้าน คิดอะไรไม่ออกบอกโจ๊ก

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคนที่อยู่ในขบวนการสกัดไม่ให้ตนเองเป็นผบ.ตร. มีคนที่ใหญ่กว่าคนที่เข้าพบนายกฯ อยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าไม่มี และมองว่าไม่เชื่อมโยงไปถึงฝ่ายการเมือง เพราะนี่เป็นกระบวนการของฝ่ายตำรวจ ส่วนที่มีคนออกมาแฉว่า ก่อนเข้าพบนายกรัฐมนตรี บุคคลดังกล่าวได้เดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้านั้น ส่วนตัวไม่ทราบในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าไม่เกี่ยว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

Nateetorn S.

ผู้สื่อข่าว ทำงานกับ Thaiger มาตั้งแต่ปี 2020 จบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสคร์ เคยทำงานกับสถานีโทรทัศน์อันดับ 1 ของประเทศ ทำให้มประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ เจาะประเด็นข่าวการเมืองอาชญากรรม ข่าวแปลกๆ เรื่องน่าสนใจจากต่างประเทศ ช่องทางติดต่อ tee@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button