ข่าว

ครม. เคาะงบ 34,060 ล้าน หนุนใช้รถ EV3.5 หวังกระตุ้นธุรกิจ รถยนต์ไฟฟ้า

คณะรัฐมนตรี อนุมัติงบ 34,060 ล้าน เดินหน้ามาตรการ EV3.5 ส่งเสริมผู้ประกอบการยานยนต์ไฟฟ้า ตั้งเป้าผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค

นายเศรษฐา ทวีศิลป์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV3.5 วงเงินในระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 2567 – 2570 ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้น 34,060 ล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าว จะเริ่มใช้จริงในวันที่ 2 มกราคม 2567

Advertisements

สำหรับงบประมาณดังกล่าว จะนำมาเพื่อใช้ดำเนินการตามมาตรการ EV3.0 ในส่วนที่ขาด และการอุดหนุนตามาตรการ EV3.5 โดยสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับมี 3 ส่วน ดังนี้

มาตรการสนับสนุนการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5

1. เงินอุดหนุน สำหรับเงินอุดหนุนจะเป็นไปตามประเภทของรถ และขนาดแบตเตอรี่ ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า

2. การลดอัตราอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูป

3. การลดอัตราภาษีสรรพสามิต

Advertisements

พร้อมทั้ง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเดิมที่เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 แล้ว ที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ให้สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ได้ ตามเงื่อนไขของแต่ละมาตรการ

ด้าน ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ EV3.0 สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการใหม่นี้เพิ่มเติมได้ และผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการสามารถเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ได้ ทั้งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากกรมสรรพสามิต ดังนี้

1. รถยนต์นั่ง (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้

1.1. สิทธิเงินอุดหนุน

ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 10 kWh แต่น้อยกว่า 50 kWh

  • ปี 2567 จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท/คัน
  • ปี 2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 35,000 บาท/คัน
  • ปี 2569 – 2570 จะได้รับเงินอุดหนุน 25,000 บาท/คัน (เฉพาะที่ผลิตในประเทศเท่านั้น)

ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป

  • ปี 2567 จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน
  • ปี 2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 75,000 บาท/คัน
  • ปี 2569 – 2570 จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท/คัน (เฉพาะที่ผลิตในประเทศเท่านั้น)

1.2 สิทธิลดอัตราอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ 40 (สำหรับรถที่มีการนำเข้าในช่วงปี 2567 – 2568)

1.3 สิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 ในปี 2567 – 2570

2. รถยนต์นั่ง (ราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้รับสิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2

3. รถกระบะ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน และได้รับสิทธิอัตราภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 0 ในปี 2567 – 2568 และอัตราภาษีร้อยละ 2 ในปี 2569 – 2570

4. รถจักรยานยนต์ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน 150,000 บาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน และได้รับสิทธิอัตราภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 1 ในปี 2567 – 2570

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการนี้ ต้องผลิตรถยนต์เพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ในอัตราส่วน 1 : 2 ของจำนวนนำเข้าในช่วงปี 2567 – 2568 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) หรือผลิตชดเชยการนำเข้าภายในปี 2570 ในอัตราส่วน 1 : 3 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 3 คัน) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ และผลักดันไทยให้เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคในอนาคต

กรมสรรพสามิต ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการ ในมาตรการ EV3.5

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง : ไทยคู่ฟ้า, รัฐบาลไทย

Best Writer

นักเขียนบทความประจำ Thaiger จบการศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มีความเชียวชาญด้านวงการเพลงไทย ภาพยนตร์ อนิเมะ ชื่นชมติดตามข่าวสารสังคม กีฬา เทคโนโลยี แตกประเด็น สรุปเรื่องราวมาร้อยเรียงผ่านข้อความสู่สายตาผู้อ่าน ช่องทางติดต่อ best.t@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button