เตรียมเฮ สภากลาโหมเห็นชอบ เพิ่ม 3 โรคนี้ ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร
สภากลาโหมเห็นชอบ เคาะเพิ่ม 3 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคตุ่มน้ำพอง โรคลำไส้พองแต่กำเนิด โรคเอนไซม์เม็ดเลือดแดงผิดปกติ ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร
วันนี้ มีรายงานจาก พล.ร.ต.ธนิตพงศ์ สิริเศวตศักดิ์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้มีวาระประชุมสภากลาโหม แต่งตั้งคณะกรรมการ 2 คณะ คือ คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการการต่อต้านการก่อการร้ายสากล ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรมว.กลาโหม เหล่าทัพ เป็นกรรมการ รวมถึงเรื่อง พรบ เกณฑ์ทหาร
เพิ่ม 3 โรคที่ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร
โดยหนึ่งในเรื่องที่คณะกรรมการชุดนี้เห็นชอบคือ ร่างพ.ร.บ. ออกตามความ ร่างพ.ร.บ.การรับราชการทหาร พ.ศ.2497 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติม 3 กลุ่มโรค จากเดิม 12 เป็น 15 คือ
- โรคตุ่มน้ำพอง
- โรคลำไส้พองแต่กำเนิด
- โรคเอนไซม์เม็ดเลือดแดงผิดปกติ (G6PD)
ส่งผลให้ทำให้เกิดความไม่สมบูรณ์ของทหารกองเกิน ที่จะเข้าเป็นทหารกองประจำการ
โรคตุ่มน้ำพอง
โรคตุ่มน้ำพอง (Bullous pemphigoid) เป็นกลุ่มของโรคผิวหนังที่มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองน้ำเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีมาทำลายโครงสร้างที่ทำหน้าที่ยึดเซลล์ผิวหนังเข้าด้วยกัน ทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดออกจากกันกลายเป็นตุ่มน้ำและแผลถลอก
โรคตุ่มน้ำพองสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่
- โรคเพมฟิกัส (Pemphigus) พบได้บ่อยกว่า ลักษณะตุ่มน้ำมักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังทั่วร่างกาย รวมถึงเยื่อบุในช่องปาก ช่องคลอด และลำไส้
- โรคเพมฟิกอยด์ (Bullous pemphigoid) พบได้น้อยกว่า ลักษณะตุ่มน้ำมักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังบริเวณลำตัว แขนขา และหลัง
อาการของโรคตุ่มน้ำพอง ได้แก่
- เกิดตุ่มน้ำพองน้ำบริเวณผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ ของร่างกาย
- ตุ่มน้ำอาจแตกง่าย กลายเป็นแผลถลอก
- มีอาการเจ็บปวดหรือคันบริเวณที่มีตุ่มน้ำหรือแผล
- ในรายที่ตุ่มน้ำหรือแผลเกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุในช่องปาก อาจมีอาการกลืนลำบาก เจ็บปาก ปากแห้ง
- ในรายที่ตุ่มน้ำหรือแผลเกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุในช่องคลอด อาจมีอาการคัน ตกขาวผิดปกติ
โรคตุ่มน้ำพองเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ การรักษาโรคตุ่มน้ำพองมักใช้ยากลุ่มยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาอิมมูโนซัพเปรสเซอร์ ยาชีวภาพ เป็นต้น
โรคลำไส้พองแต่กำเนิด
โรคลำไส้พองแต่กำเนิด (Hirschsprung’s disease) เป็นโรคที่ลำไส้ส่วนปลายขาดเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ ส่งผลให้อุจจาระไม่สามารถผ่านปลายลำไส้ส่วนที่อยู่ข้างบนขึ้นไปได้ ทำให้มีอุจจาระค้างเกิดการอุดตัน และการโป่งพองบริเวณลำไส้ขึ้น
โรคลำไส้พองแต่กำเนิดพบได้ประมาณ 1 ใน 5,000-10,000 คน มักพบในเด็กทารกแรกเกิด โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ท้องอืด ปวดท้อง
- ถ่ายอุจจาระลำบาก ถ่ายเป็นก้อนเล็กๆ หรือถ่ายเป็นมูกเลือด
- ท้องผูกเรื้อรัง
- อาเจียน
- น้ำหนักตัวไม่ขึ้น
ในรายที่อาการรุนแรง อาจเกิดภาวะลำไส้อุดตันเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้
สาเหตุของโรคลำไส้พองแต่กำเนิดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกิดจากความผิดปกติของยีนหรือพันธุกรรม โดยโรคนี้อาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูกได้
การวินิจฉัยโรคลำไส้พองแต่กำเนิดมักอาศัยการตรวจร่างกาย การตรวจเอกซเรย์ช่องท้อง การตรวจสวนทวารหนัก การตรวจชิ้นเนื้อลำไส้
การรักษาโรคลำไส้พองแต่กำเนิดคือการผ่าตัดเพื่อต่อลำไส้ส่วนปกติกับลำไส้ส่วนปลายที่ขาดเซลล์ประสาท โดยการผ่าตัดมักทำภายใน 2-3 วันแรกหลังคลอด ในรายที่อาการรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดฉุกเฉิน
โรคเอนไซม์เม็ดเลือดแดงผิดปกติ
โรคเอนไซม์เม็ดเลือดแดงผิดปกติ (G6PD deficiency) หรือโรคพร่องเอนไซม์ G6PD (G6PD deficiency) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากภาวะขาดเอนไซม์ G6PD (glucose-6-phosphate dehydrogenase) ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในเซลล์เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ช่วยป้องกันเซลล์เม็ดเลือดแดงจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระ
เอนไซม์ G6PD มีหน้าที่ช่วยสร้างกลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในเซลล์เม็ดเลือดแดง สารอนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญของเซลล์ปกติ หรืออาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การติดเชื้อ การได้รับยาบางชนิด หรือสารเคมีบางชนิด
หากร่างกายขาดเอนไซม์ G6PD เซลล์เม็ดเลือดแดงจะไวต่อการทำลายของสารอนุมูลอิสระ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลายจะปล่อยสารฮีโมโกลบินออกมาในกระแสเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน (hemolytic anemia)
อาการของโรคเอนไซม์เม็ดเลือดแดงผิดปกติ ได้แก่
- ซีด เหลืองหรือดีซ่าน
- ปัสสาวะสีเข้มหรือสีโคคาโคลา
- ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
- อ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- ปัสสาวะบ่อย
ในรายที่อาการรุนแรงอาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน หรือเสียชีวิตได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง