เพิ่งรู้! กินยาแก้ปวดมาก ยิ่งปวดหัวกว่าเดิม ไขข้อข้องใจ วิธีกินยาแก้ปวด
เกิดมาเพิ่งรู้! กินยาแก้ปวด หวังลดปวดหัว ปวดตามร่างกาย แต่ทำเอาปวดหัวกว่าเดิม ไขข้อข้องใจเพราะอะไร เสี่ยงอันตรายแค่ไหน พร้อมวิธีกินยาแก้ปวดที่ถูกต้อง
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสเฟซบุก๊ส่วนตัว Thiravat Hemachudha โดยมีข้อความระบุถึงเรื่องของการกินยาแก้ปวด ไขข้อสงสัยว่าทำไมบางคนกินแล้วถึงมีอาการปวดหัวหนักกว่าเดิม แล้วยาพาราที่เรามีติดบ้าน หากกินบ่อย ๆ อันตรายไหม มาไขข้อสงสัยนี้กัน
จริงหรือไม่? ยิ่งกินยาแก้ปวด ยิ่งปวดหัว กินยาพาราบ่อย อันตรายไหม?
เราทุกคนอาจเคยปวดศีรษะสักครั้งหนึ่งของชีวิต ซึ่งเวลาปวดศีรษะเราก็จะกินยาแก้ปวดที่มีติดไว้ประจำบ้าน เช่น พาราเซตามอล หรือไปซื้อยาตามร้านขายยามารับประทาน ยาแก้ปวดเหล่านี้ปลอดภัยหรือไม่ แล้วจริงๆยาแก้ปวดเหล่านี้รับประทานบ่อยๆ หายปวดทุกครั้งหรือไม่ และทำให้ปวดศีรษะได้มากกว่าเดิมจริงหรือไม่
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยาแก้ปวดที่เรารับประทาน ไม่ได้ปลอดภัยเสียทีเดียวหากรับประทาน “มากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอลที่มีผลต่อตับ ยากลุ่ม NSAID (เช่น ibuprofen, naproxen ฯลฯ) ก็เป็นพิษต่อไต และทำให้มีแผลในกระเพาะอาหารจนเลือดออกได้
แม้แต่ยากลุ่ม ergot ที่เราพบกันในข่าวว่าสามารถทำให้มือหรือเท้าขาดเลือดถึงขั้นต้องตัดมือตัดเท้า อีกทั้งยาแก้ปวดศีรษะเหล่านี้ ถ้าใช้มากเกินไปหรือถี่เกินไปยังกลับทำให้อาการปวดศีรษะมากขึ้นกว่าเดิม อาการปวดศีรษะแบบนี้เรียกได้ว่า โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินความจำเป็น (Medication overuse headache) หรือ MOH
โรค MOH คืออะไร และใครที่มีโอกาสเป็นโรค MOH บ้าง?
โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินความจำเป็น (MOH) จะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีโรคปวดศีรษะเป็นประจำอยู่เดิม (เช่น โรคไมเกรน) และรับประทานยาแก้ปวดมากเกินไปจนทำให้อาการปวดศีรษะที่มีความถี่มากขึ้น หรือมีลักษณะอาการปวดศีรษะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โดยความหมายของปริมาณยาที่ใช้มากเกินไป หากเป็นยากลุ่มพาราเซตามอล คือ การใช้ยาตั้งแต่ 15 วันต่อเดือนขึ้นไป หากเป็นยาแก้ปวดกลุ่มอนุพันธุ์ของฝิ่น, ยากลุ่ม ergot หรือยากลุ่ม triptan จะหมายถึงการใช้ยาตั้งแต่ 10 วันต่อเดือนขึ้นไป
ผู้ป่วยอาจจะสังเกตอาการเพิ่มเติมได้ง่ายๆ ว่ามีความเสี่ยงจะเกิดโรค MOH โดยผู้ป่วยอาจรับประทานยาแก้ปวดแล้วออกฤทธิ์สั้นลง หรือรับประทานแล้วไม่หายปวดศีรษะ
ทำไมยาแก้ปวดถึงทำให้ปวดหัวมากกว่าเดิม?
กลไกการเกิดโรค MOH เชื่อว่าเกิดจากการที่ใช้ยาแก้ปวดจำนวนมากเป็นระยะเวลาพอสมควร จะทำให้สมองกลับมีการสร้างตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อระดับยาแก้ปวดลดลงจะทำให้สมองเกิดความไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
โรค MOH รักษาอย่างไร?
การรักษา MOH มีหลักการง่ายๆ คือการหยุดยาแก้ปวดที่ทำให้เกิด MOH รวมถึงไปพบแพทย์ เพื่อรักษาโรคปวดศีรษะเดิมให้ถูกต้อง
วิธีกินยาแก้ปวดให้ปลอดภัย?
โรค MOH นี้สามารถป้องกันได้ง่ายมากเพียงใช้ยาแก้ปวดให้ถูกต้องและเหมาะสม เช่น ในผู้ป่วยโรคไมเกรนควรใช้ยาแก้ปวดขณะที่มีอาการปวดเท่านั้น และใช้ยาแก้ปวดตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เริ่มมีอาการปวดศีรษะแต่ละครั้ง
ที่สำคัญที่สุดคือหากผู้ป่วยโรคไมเกรนมีอาการปวดศีรษะมากขึ้นหรือถี่ขึ้นอย่างผิดสังเกต ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้ยาแก้ปวดมากจนใกล้เคียงกับปริมาณที่ทำให้เกิด MOH ได้ (ดังกล่าวข้างต้น) จะต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโรคไมเกรนอย่างถูกต้องโดยการใช้ยาควบคุมหรือยาป้องกันอาการปวดศีรษะ
นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความถี่ของอาการปวดศีรษะเดิม เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การหลีกเลี่ยงปัจจัยการกระตุ้นที่ให้ปวดศีรษะ ก็มีความสำคัญเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูล ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา