อย่าพึ่งนิ่งนอนใจ! WHO เผยอาจมี โควิดสายพันธุ์ใหม่ หลังโอมิครอน
ศูนย์จีโนม ออกมาเปิดเผยโดยอ้างอิงจาก องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ว่า หลังโควิดโอมิครอนสงบลง อาจมี โควิดสายพันธุ์ใหม่ อีก
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก พูดถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายหลังจากที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนสงบเลย โดยเชื่อว่าจะมีโควิดสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีก
โดยข้อความระบุว่า “องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาย้ำเตือนและขอความร่วมมือจากทุกประเทศทั่วโลก เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา ดังนี้
1. ขออย่าลดจำนวนการตรวจ (ATK, RT-PCR และการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนม) ในช่วงนี้ เพราะจะทำให้เราตามจับไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ไม่ทัน ส่งผลให้การวางแผนในการตรวจติดตาม ป้องกัน และรักษาไวรัสโคโรนา 2019 กลายพันธุ์ของ WHO ล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์
2. ดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง (608) ให้ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแม้จะมีวัคซีนพอเพียง แต่ปรากฏว่าบางกลุ่มประชากรโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง (608) กลับไม่ได้รับการฉีดวัคซีนที่ครบถ้วน
WHO ได้ตั้งเป้าการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในทุกประเทศให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 ของทุกกลุ่มประชากร
3. WHO ประเมินว่าจะมีสายพันธุ์ใหม่และสายพันธุ์ลูกผสม (recombinant variants) เกิดขึ้นหลังจากโอมิครอนสงบลง แต่ด้วยภูมิคุ้มกันที่เรามีสะสมกันมาทั้งจากวัคซีนและจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ จะช่วยลดผลกระทบได้
4. การกำจัดไวรัสให้หมดไปไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ที่สำเร็จมาแล้วมีเพียงตัวเดียวคือไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) หรือไข้ทรพิษ อันเกิดจากเชื้อไวรัสวาริโอลา (Variola Virus) ที่ติดต่อผ่านการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือการหายใจเอาเชื้อไวรัสที่อยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย และการกำจัดไวรัสอีกตัวที่ใกล้จะสำเร็จคือโปลิโอ (Polio หรือ Poliomyelitis หรือ Infantile paralysis) หรือบางครั้งเรียกว่า “โรคไขสันหลังอักเสบ” เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ
5. คำว่าโรคประจำถิ่น (Endemic) ทาง WHO แถลงว่า ไม่ได้หมายความว่าตัวเชื้อก่อโรคจะต้องยุติการระบาดหรือสูญหายไป เช่น กรณีของ เชื้อเอชไอวี (HIV) ที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์ เชื้อไมโครแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซีส ที่ก่อให้เกิดวัณโรคปอด และเชื้อมาลาเรียที่ก่อให้เกิดโรคไข้จับสั่น ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นโรคประจำถิ่น แต่เชื้อทั้งสามก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกปีละหลายล้านคน โดยแต่ละประเทศต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้เชื้อเหล่านี้กลับมาระบาดใหญ่ (Pandemic) ได้อีก
หมายเหตุ กรณีของเชื้อเอชไอวี (HIV) ที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์ เดิมมีการรบาดไปทั่วโลก (Pandemic) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 ปัจจุบันได้กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ในที่สุด ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านบาทต่อปีในการตรวจวินิจฉัย CD4, viral load, และการถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อดูว่าไวรัสดื้อต่อยาต้านไวรัสแล้วหรือไม่ และสามารถปรับเปลี่ยนยาหากเชื้อดื้อยาได้ทันท่วงที รวมทั้งมีการจัดหายาต้านไวรัสมาใช้ มนุษย์เราได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่ออยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี เช่น ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับกลุ่มเสี่ยง หรือตรวจกรองเลือดให้ปราศจากเชื้อจุลชีพต่างๆ รวมทั้งเอชไอวีก่อนให้กับผู้ป่วยที่ต้องการเลือด เป็นต้น
ดังนั้นในกรณีของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทางภาครัฐจะปรับให้เป็นโรคประจำถิ่นเร็วๆนี้ คาดว่าประชาชนคนไทยจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างเพื่ออยู่ร่วมกับไวรัสตัวนี้ให้ได้”