ธปท. หยอดเตรียมออกกฎควบคุม ‘คริปโต’ ในการใช้จ่าย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยถึงการพิจารณาในการออกกฎหมายเพื่อควบคุม ‘คริปโต’ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลในการใช้จ่ายสินค้า หรือบริการต่าง ๆ
เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค. 2564) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำการทำการพูดถึงในประเด็นของการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ คริปโต (Cryptocurrencies) ในการใช้จ่ายชำระสินค้า และบริการต่าง ๆ ซึ่งก็ได้มีการแย้มถึงการออกกฎหมายที่มีเกี่ยวข้องเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นได้
น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารการสื่อสารองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. อยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาออกแนวนโยบายกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลที่นำมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ หลังจากช่วงที่ผ่านมามีธนาคารพาณิชย์ร่วมมือกับผู้ประกอบธุรกิจใช้สินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี ใช้สกุลเงินคริปโตแลกเปลี่ยนชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งมีแนวโน้มแพร่หลายมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและเสถียรภาพระบบชำระเงินของประเทศ
ทั้งนี้กรณีที่มีบางธนาคารพาณิชย์ ได้เข้าถือหุ้นหรือได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรในบริษัทธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านบริษัทในเครือของธนาคารนั้น ไม่ได้ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ผู้ที่ใช้บริการต้องรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และ ธปท. ยังไม่อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เกี่ยวข้องกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ประกอบธุรกิจมาหารือ ธปท. บ้างในเรื่องรายละเอียดและสร้างความเข้าใจ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า ธปท. แสดงความกังวลในเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีสินทรัพย์อื่นหนุนหลัง หรือแบล็งคอยน์ (Blank Coin) เพราะราคาจะมีความผันผวนสูง มูลค่าไม่คงที่ โดย ธปท. กำลังหารือกับ ก.ล.ต. เพื่อดูแลความเสี่ยง และการแข่งขันต้องให้เกิดความเท่าเทียมกัน ไม่ให้มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ซึ่งหากเอกชนรายใดที่ทำไปแล้ว สามารถกลับมาคุยกันได้ และไม่อยากให้เอกชนที่ทำไปแล้วพอมีเกณฑ์ออกมา จะเกิดต้นทุนในการทำธุรกิจ
ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีสินทรัพย์อื่นหนุนหลัง หรือสเตเบิลคอยน์ (Stable Coin) เหมือนกับธุรกิจอี-มันนี่ ซึ่ง ธปท. กำกับดูแลอยู่ โดย ธปท. จะดูทั้งโครงสร้างชำระเงิน ดูเรื่องความปลอดภัย เหมือนถ้าเราเข้าเซเว่น เซ็นทรัล หรือเดอะมอลล์ใช้เหรียญดิจิทัลหนึ่ง แล้วธุรกิจจะลงบัญชีอย่างไร ต้นทุนทางบัญชีจะคิดอย่างไร ทำให้ระบบเศรษฐกิจจะไม่มีประสิทธิภาพ และประชาชนจะต้องมีกี่กระเป๋าเงินดิจิทัลในการใช้จ่าย ยืนยันบทบาท ธปท. ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป มีอยู่ 3 มิติ คือ
1. ทำเงินให้เป็นเงิน คือ ต้องการดูแลมูลค่าเงินในกระเป๋า เงินฝากในธนาคารซึ่งเชื่อมกับอัตราแลกเปลี่ยน และเงินเฟ้อ
2. ดูแลไม่ให้ระบบเศรษฐกิจกระแทกจนเกินไป ให้เศรษฐกิจโตอย่างยั่งยืนเต็มประสิทธิภาพ ดูแลภาวะการเงิน ดูอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน โดย ธปท.ดูแลเมื่อเวลาเศรษฐกิจชะลอกว่าที่ควรจะเป็น
3. ธปท.ดูแลกำกับธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่ง ธปท.เป็นแหล่งกู้ยืมแหล่งสุดท้าย ป้องกันวิกฤติธนาคาร
“ถ้าคนมาถือเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้น การควบคุมจะน้อยลง เพราะคนใช้เงินบาทน้อย กิจกรรมต่างๆ เปลี่ยนไป ทำให้ความสามารถ ธปท.ควบคุมดูแลภาวะการเงินสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจลดน้อยลง และการดูแลเคลื่อนย้ายเงินทุน ไม่ให้ผันผวนทำได้ยากขึ้น และเมื่อเกิดวิกฤติจะไม่สามารถป้องกันได้”
นายกษิดิศ ตันสงวน รองผู้อำนวยการ กลุ่มงานยุทธศาสตร์องค์กร ธปท. กล่าวว่า ลักษณะความหมายของการชำระเงินที่ดี คือ การใช้ชำระต้องเข้าถึงได้ง่าย เช่น เงินสด ไม่ต้องมีอุปกรณ์ไฮเทคก็สามารถจ่ายได้ และต้องมีมูลค่าคงที่ ไม่ผันผวน เช่น เงิน หรือเบี้ย โลหะมีค่าที่ใช้กันในอดีต รวมทั้งต้องมีความปลอดภัย และได้รับการยอมรับจากผู้ใช้และผู้รับ
ขณะที่ สินทรัพย์ดิจิทัล แบ่งเป็น สินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือซีบีดีซี รูปแบบการออกคล้ายกับการพิมพ์ธนบัตร ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยเอกชน ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สเตเบิลคอยน์ มีสินทรัพย์หนุนหลัง หรือมีกลไลรักษามูลค่า มีราคาไม่ผันผวน เช่น สกุลเงินมาหนุนหลัง อย่างเงินบาท, สินทรัพย์อื่นหนุนหลัง เช่น ภาพเขียน, อัลกอริทึมมิก ใช้กลไกสมาร์ท คอนแท็ก รักษามูลค่า และอีกส่วน คือ แบล็งคอยน์ ไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน ราคาผันผวน เช่น บิตคอยน์ อีทเทอ เป็นต้น
“ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งอาจไม่ต้องผ่านตัวกลาง ทำให้จะเกิดความเสี่ยงสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค ทั้งความผันผวนด้านราคา, มาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวกับการใช้ชำระ เช่น ภัยไซเบอร์ อาจถูกแฮกเจาะระบบ เกิดการสูญหายของสินทรัพย์ หรือเหรียญได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับเอง ต่างจากการชำระเงินที่มีตัวกลางอย่างธนาคาร หากเงินถูกแฮก สามารถเรียกร้องนำเงินกลับมาได้ เพราะมีตัวกลางคือธนาคารเป็นผู้ดูแลความเสี่ยง และเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน ซึ่งหากนำมาใช้อย่างแพร่หลายอาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการชำระเงินและเสถียรภาพด้านการเงิน”
แหล่งที่มาของข่าว : DailyNews
สามารถติดตามข่าวการเงินเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวการเงิน