สะท้อนใจ ติดโควิดกลัวถูกตัดสิทธิ์เตียง โบกแท็กซี่ไปรพ.เอง คนขับซวยเสี่ยงติดเชื้อด้วย
เตียงผู้ป่วยโควิด – ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ เดือนเมษายน ในประเทศไทย นับว่ามีความน่ากังวลอยู่ไม่น้อย เนื่องจากสายพันธุ์ในการระบาดครั้งนี้เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ซึ่งเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น สะท้อนจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ทะลุ 2 พัน มา 3 วันติดแล้ว และยอดผู้เสียชีวิต พบว่าหลายรายมีโรคประจำตัว และอายุผู้เสียชีวิตน้อยลง
เกิดกรณีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด โทรหาสายด่วนรอรถโรงพยาบาลมารับ แต่ล่าช้าจนเสียชีวิตก่อนได้รับการรักษา ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ และความวังวลต่อผู้ป่วยจำนวนมาก ว่าโรงพยาบาลมีเตียงพอรับรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลยืนยันว่าติดเชื้อในอนาคตอันใกล้นี้หรือไม่
ความหวั่นกลัวเรื่องไม่มีเตียงพอรักษา หรือไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ฉายภาพสะท้อนให้เห็นจากเหตุการณ์ ที่ถูกเล่าผ่านแอคเคาต์โซเชียลมีเดียของ คริส โปตระนันทน์ – Chris Potranandana หนึ่งในผู้ร่วมขอจดทะเบียนตั้งพรรคอนาคตใหม่ เป็นเคสของผู้ป่วยโควิดรายหนึ่งที่ ซอยอินทามระ 11 ซึ่งพบว่าตนเองป่วยโควิด และตอนนี้ได้เตียงที่ ร.พ.เกษมราษฎร์ ประชาชื่น
ปัญหาอยู่ตรงที่ ได้เตียงแล้ว แต่ต้องรอรถมาส่งไปโรงพยาบาล ไม่สามารถใช้รถโดยสารปกติได้ เนื่องจากตามมาตรการป้องกันโควิด จะเป็นการเสี่ยงแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ ซึ่งระหว่างที่คริส กำลังประสานรถไปรับนั้นเอง ผู้ป่วยก็ได้โบกรถแท็กซี่สีชมพูเดินทางไปโรงพยาบาลเอง โดยให้เหตุผลว่ากลัวโดนตัดสิทธิ์เตียง
ซึ่งการที่โดยสารไปกับรถแท็กซี่ ย่อมส่งผลให้คนขับแท็กซี่คันดังกล่าว กลายเป็นผู้มีความเสี่ยง เนื่องจาก ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ ทางคริส จึงประกาศตามหารถแท็กซี่สีชมพู ทะเบียน ทษ 819 คันดังกล่าว เพื่อกักตัวเองและนำรถไปฆ่าเชื้อ
คริส โปรตระนันท์ ได้กล่าวอย่างชวนให้ฉุกคิดว่า เคสนี้มีประเด็นที่ต้องตั้งคำถามคือ ทำไมโรงพยาบาลไม่ส่งรถมารับ ทั้งๆ ที่มีเตียงให้ผู้ป่วยแล้ว
นอกจากนี้ยังโยงไปถึงเคสของคุณอัพ ที่ต้องประสบชะตากรรม “ให้นั่งรถสาธารณะมาเอง” แต่คุณอัพรับผิดชอบต่อส่วนรวม รอรถพยาบาลจนตนเองเสียชีวิต
โพสต์ดังกล่าวได้มีผู้แชร์ไปแล้วกว่า 1.3 พันครั้ง และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย
- ศบค. วอน ปชช. อย่าหมดหวัง โทรสายด่วนไม่ติด
- สลด! ครอบครัวอาม่า ติด โควิด ดับ 1 ศพระหว่างรอรถรับไปโรงพยาบาล
- อนุทิน เผย ยาฟาวิพิราเวียร์ รักษาผู้ป่วยโควิด 2 ล้านเม็ดถึงไทยแล้ว
