ข่าวภูมิภาค

เซลล์สาวหายตัวนาน 3 ปี พบอีกครั้งเป็นศพในรถเก๋งจมน้ำ คาดถูกฆาตกรรม

วานนี้ (9 ธ.ค.) ตำรวจสภ.หนองโดน ได้รับแจ้งเหตุพบรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อนิสสัน รุ่นพัลซ่าร์ สีขาว ทะเบียน 4กฐ 6348 กรุงเทพ จมอยู่ในน้ำ และมีร่างผู้เสียชีวิตที่เหลือแต่โครงกระดูก จึงได้เข้าตรวจสอบพร้อมกับกองพิสูจน์หลักฐานสระบุรีและอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู

 

จากการตรวจสอบพบ เจ้าของรถคือ นางสาวกลิ่นเกสร วงษ์สิงห์ อายุ 36 ปี ส่วนโครงกระดูกที่พบอยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยมีการประสานญาติของเจ้าของรถ ซึ่งนางลั่นทม วงษ์สิงห์ อายุ 56 ปี ผู้เป็นแม่ เดินทางมาจากจังหวัดลพบุรี ได้มาถึงจุดเกิดเหตุ พร้อมทั้งให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

 

ด้านนายอภิชาต มัธยัส อายุ 47 ปี น้องเขยของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า นางสาวกลิ่นเกสร หรือ พี่ต่อ มีอาชีพเป็นเซลส์ขายปุ๋ย อยู่บริษัทผลิตปุ๋ยแห่งหนึ่งในอำเภอพระพุทธบาท และมีกิจการขายสเต็ก และเปิดร้านเช่าชุดไทยในตลาดอำเภอพระพุทธบาท

 

ภาพจาก ไทยรัฐ

 

นางสาวกลิ่นเกสร ได้หายตัวไปพร้อมรถยนต์ เมื่อปี 2559 ซึ่งญาติๆ ได้แจ้งความไว้ที่ สภ.พระพุทธบาท แต่คดีไม่คืบหน้า อีกทั้งได้นำเรื่องดังกล่าวไปร้องกับทางกองปราบปราม แต่ก็ไม่พบตัวนางสาวกลิ่นเกสร จนกระทั่งวันนี้มาพบกลายเป็นศพ เหลือแต่โครงกระดูกอยู่ภายในรถยนต์เก๋งของตนเอง

 

แม่ของผู้ตายเชื่อว่า ชายสูงอายุที่มาติดพันนางสาวกลิ่นเกสร คนล่าสุด น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องการเสียชีวิต เพราะลูกสาวเคยเล่าให้ฟังว่าทะเลาะกัน เพราะเรื่องหึงหวง และก่อนผู้ตายจะเสียชีวิต ได้บอกญาติๆ ว่า จะไปนอนพักที่บริษัทผลิตปุ๋ย ก่อนจะหายตัวไปนาน 3 ปี

 

นอกจากนี้ ตำรวจระบุว่า จากหลักฐานที่พบภายในรถของผู้ตาย เชื่อได้ว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง เพราะมีผ้าปูที่นอนมัดร่างผู้ตาย และจากพยานบุคคล ได้ให้การว่าก่อนเสียชีวิตได้คบหากับผู้ชายสูงอายุดังกล่าว ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการผลิตปุ๋ยในอำเภอพระพุทธบาท

 

ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงนั้น ต้องรอการตรวจสอบสภาพโครงกระดูกผู้ตาย รวมถึงหลักฐานภายในรถของผู้ตายอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยอมรับว่าหนักใจ เนื่องจากหลักฐานที่พบในรถถูกแช่น้ำนานถึง 3 ปี และภายในรถเต็มไปด้วยดินโคลน ประกอบกับร่องรอยของฆาตกรอาจเลือนหายไป อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ายังมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปถึงฆาตกรรายนี้ได้

 

 

ที่มา ไทยรัฐ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button