ข่าวอาชญากรรม

อ.ตฤณห์ ชี้ กาน เวลไฟร์ สมควรประหาร เปิดข้อกฎหมายไทย โทษสูงสุดยังมีอยู่ไหม?

อาจารย์อาชญาวิทยาโพสต์แรงคดี กาน เวลไฟร์ สมควรโดนโทษประหารชีวิต ด้านแม่เข้าเยี่ยมลูกชายที่ศาลพร้อมเตือนสติทั้งน้ำตา ส่วนผู้ต้องหาตะคอกสื่ออ้างโดนรังแก พาเปิดกฎหมายไทยโทษประหารยังมีอยู่จริงไหม

เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม 2568 ดร. ตฤณห์ โพธิ์รักษา หรือ อ.ตฤณห์ นักวิชาการด้านอาชญาวิทยา ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Aj. Trynh Phoraksa เกี่ยวกับคดีของ กาน เวลไฟร์ หรือ นายสงกรานต์ พานภู่ ผู้ต้องหาคดียิงผู้อื่นเสียชีวิตบนทางด่วน โดยระบุข้อความสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า

“ส่วนตัวผมคิดว่า โทษประหาร สมควรใช้กับคดีของ กานต์ เวลไฟร์”

โพสต์ดังกล่าวสร้างความสนใจให้กับผู้ติดตามข่าวนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากพฤติการณ์การก่อเหตุมีความอุกอาจและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกปลอดภัยของประชาชน

แม่ของกาน เวลไฟร์ เข้าเยี่ยมลูกชายที่ศาลด้วยน้ำตา
Aj. Trynh Phoraksa

นาทีคุมตัว “กาน เวลไฟร์” ฝากขัง-ตะคอกสื่อ

สำหรับความคืบหน้าทางคดี เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (26 ธันวาคม) พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ดำเนินการควบคุมตัว นายสงกรานต์ หรือ “กาน เวลไฟร์” ออกจากห้องขัง เพื่อนำตัวไปขออำนาจศาลอาญารัชดาฝากขังผลัดแรก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจวางกำลังดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตลอดเส้นทาง

จังหวะที่เจ้าหน้าที่นำตัวนายสงกรานต์เดินไปขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขัง ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นายสงกรานต์แสดงท่าทีเกรี้ยวกราด และตะคอกใส่กลุ่มนักข่าวด้วยเสียงดังว่า “เฮ้ย หลบหน่อย ๆ !!” พร้อมกับพูดทิ้งท้ายสั้น ๆ ก่อนขึ้นรถว่า “ผมโดนรังแก”

แม่ร่ำไห้เยี่ยมลูกชายครั้งแรกในรอบปี

บรรยากาศบริเวณหน้าสถานีตำรวจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เมื่อแม่ของนายสงกรานต์เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อดักรอพบหน้าลูกชาย โดยแม่เปิดเผยว่าไม่ได้เจอหน้าลูกมานานกว่า 1 ปีแล้ว นับตั้งแต่นายสงกรานต์ตกเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี ครั้งนี้ตั้งใจมาเพื่อขอสัมผัสตัวลูกชายสักครั้ง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจอนุญาตให้พูดคุยผ่านรถควบคุมผู้ต้องขังเท่านั้น ทันทีที่เห็นหน้าลูก แม่ได้กล่าวทั้งน้ำตาเพื่อให้สติลูกชายว่า

“ให้ทำตัวดี ๆ อดทน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะว่าเราเมาขาดสติ ถึงเป็นเช่นนี้ ถ้าหนูมีสติ หนูก็คงไม่เป็นขนาดนี้ แม่รู้ ขอให้อดทน แม่ก็จะอดทนรอ ลูกก็ต้องอดทน เข้าไปก็ต้องทำตัวดี ๆ หนูจะได้อภัยโทษ”

หลังจากฟังคำสอนของแม่ นายสงกรานต์ได้ยกมือไหว้ขอขมาแม่ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขับรถนำตัวมุ่งหน้าไปยังศาลอาญารัชดา เพื่อดำเนินการฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2568 ถึง 6 มกราคม 2569 ต่อไป

การประหารชีวิตในไทยมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน

เปิดข้อกฎหมาย ไทยยังมี “โทษประหารชีวิต” อยู่ไหม?

จากกรณีที่ อ.ตฤณห์ เรียกร้องให้ใช้โทษประหาร และพฤติการณ์ของคดีที่รุนแรง ทำให้สังคมกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งว่า ประเทศไทยยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่หรือไม่ ทีมข่าวสรุปข้อเท็จจริงทางกฎหมายล่าสุดมาให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้

1. กฎหมายยังบังคับใช้ ไม่ได้ยกเลิก

ไทยยังคงมีโทษประหารชีวิตระบุอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 อย่างชัดเจน โดยเป็นโทษสูงสุดรองลงมาคือ จำคุก ตลอดชีวิต กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ซึ่งมาตรา 19 ระบุวิธีการประหารชีวิตในปัจจุบันคือ “การฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย”

2. ใครบ้างที่ “รอด” โทษประหาร (ข้อยกเว้น)

แม้จะมีโทษประหาร แต่กฎหมายระบุข้อยกเว้นไว้ชัดเจนสำหรับกลุ่มบุคคลต่อไปนี้

2.1 เด็กและเยาวชน

      • ผู้กระทำผิดที่อายุต่ำกว่า 18 ปีในขณะก่อเหตุ ศาลจะไม่ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

2.2 หญิงมีครรภ์

      • หากนักโทษประหารเป็นหญิงตั้งครรภ์ กฎหมายสั่งให้รอการประหารไว้ก่อน

2.3 คนวิกลจริต

      • บุคคลที่มีอาการทางจิตมีกลไกทางกฎหมายให้รอการลงโทษเช่นกัน

3. เส้นทางสู่แดนประหาร (ไม่ได้เกิดขึ้นทันที)

คดีที่มีโทษประหารชีวิตมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลายาวนานกว่าคดีทั่วไป

3.1 ต้องผ่านศาลอุทธรณ์เสมอ

      • แม้จำเลยจะยอมรับคำตัดสินและไม่อุทธรณ์ แต่กฎหมายบังคับให้ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาซ้ำอีกครั้ง เพื่อความรอบคอบที่สุด

3.2 การขอพระราชทานอภัยโทษ

      • นักโทษประหารมีสิทธิยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งขั้นตอนนี้ทำให้การบังคับโทษต้องรอการพิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อน

4. สถิติการประหารจริง

แม้กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ แต่ในทางปฏิบัติไทยมีการประหารชีวิตน้อยมาก ข้อมูลจากกรมสิทธิมนุษยชนระบุว่า การประหารชีวิตครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 หลังจากว่างเว้นมาหลายปี ขณะที่รายงานจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ปี 2566 และ 2567 ไม่ปรากฏชื่อประเทศไทยในกลุ่มประเทศที่มีการประหารชีวิต

ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ (ณ 25 มิถุนายน 2567) ระบุว่าไทยยังมีผู้ต้องโทษประหารชีวิตอยู่ในระบบ โดยแบ่งเป็น คดีระหว่างอุทธรณ์ 273 คน, คดีระหว่างฎีกา 41 คน และคดีถึงที่สุดแล้ว 59 คน ดังนั้น โทษประหารในไทยจึง “ยังมีอยู่จริง” ตามกฎหมาย แต่การจะไปถึงจุดที่ “ฉีดยา” จริง ๆ นั้น ต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองหลายชั้นมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Thosapol

นักเขียนบทความที่ Thaiger จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เชี่ยวชาญเรื่องบทความท่องเที่ยว บันเทิง ไลฟ์สไตล์ ผ่านการค้นหาข้อมูลโดยละเอียดพร้อมด้วยประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานอดิเรกมีความสนใจในกระแสข่าวรอบตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สังคม การเมือง และที่สำคัญคือเป็นทาสแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ช่องทางติดต่อ thospol@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button