ด่วน! จ่อเรียก “กิตติ” คนขายทอง ไขปมใครเอาไซยาไนด์ให้นัทปง
กิตติ คนขายทอง ผู้นำ ไซยาไนด์ มอบให้ นัทปง ก่อนเกิดเหตุสลด ล่าสุดมีรายงานตำรวจเตรียมออกหมายเรียก เข้าให้ปากคำ หลังเพื่อน 4 คนในวงเข้าให้ปากคำครบ
ความคืบหน้าล่าสุดกรณีไขปริศนาการเสียชีวิตของณัฐวุฒิ ปงลังกา ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ใกล้ปรากฏข้อเท็จจริงมากขึ้น หลังจากวันนี้ (7 ธ.ค.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรดาเพื่อนสนิท 4 คน ที่อยู่ในบ้านพักของผู้ตายย่านนนทบุรี ไล่ตั้งแต่ นายบิ๊ก , นางสาวโอ และนางสาวออ ได้ให้ปากคำกับพนง.สอบสวน สภ.บางกรวย
หลังสอบปากคำนานกว่า 4 ชั่วโมง น.ส.โอกับ น.ส.ออ ทั้ง 2 คน ได้เดินออกมาจากห้องสอบสวนด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจ.นนทบุรี เดินทางเข้าเก็บหลักฐานดีเอ็เอและลายนิ้วมือของนายไอซ์ นายบิ๊ก และนายต้น เพื่อไว้ใช้ในการตรวจเปรียบเทียบสอบกับหลักฐานอื่นภายในบ้าน
ขณะที่เวลาประมาณ 13.00 น. นายต้น เพื่นอสนิทอีกคนได้เดินทางเข้าให้ปากคำเป้นคนสุดท้ายของวันนี้ โดยทางด้าน พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) บอกกับผู้สื่อข่าวที่มาติดตามคดีที่เพียงสั้นๆ ว่า ประเด็นทั้งหมดอยู่ในระหว่างการสอบสวน เบื้องต้นการสอบปากคำพยานให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

ขณะที่ พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ รองผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า เตรียมออกหมายเรียกพยานบุคคลสำคัญในคดีนี้อีกราย คือ นาย ก. หรือนายกิตติ แนวทางสืบสวนพบว่า เป็นผู้นำสารไซยาไนด์มาส่งให้กับผู้เสียชีวิต จนเป็นสาเหตุให้ผู้เสียชีวิตนำไปใช้
โดยต้องสอบสวนว่า นายกิตติ นำสารไซยาไนด์มาจากที่ใด หากพบความผิดก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนไซยาไนด์ที่พบนั้นจะเป็นไซยาไนด์ประเภทใดนั้น ต้องรอวันที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตมาเปิดบ้านให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
อย่างไรก็ดีเบื้องต้นทราบว่า ซองที่บรรจุไซยาไนด์ดังกล่าวยังวางอยู่บนโต๊ะในบ้าน
ส่วนประเด็นที่ว่ามีการ นำซองไซยาไนด์ออกไปตรวจสอบก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่การแบ่งออกไปเท่านั้น ไม่ได้นำออกไปทั้งซอง
เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ซองไซยาไนด์ดังกล่าวยังอยู่ในบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงต้องให้ทางครอบครัวเดินทางมาเปิดบ้านพักให้ตรวจสอบในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ ตามที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตแจ้งไว้

ทั้งนี้ประเด็นสืบเนื่องเกี่ยวกับเรื่องการเปิดบ้านพักของผู้ตาย (นายณัฐวุฒิ ปงลังกา) ที่เกิดปมวิพากษ์วิจารณ์นั้น ล่าสดในส่วนของ “ไอซ์” สารวัตร กิจพานิช เพื่นอรุ่นพี่นักข่าวร่วมสถานีช่อง 8 ยืนยันผ่านรายงานของสำนักข่าวช่องตัวเองชัดเจนว่า “สิ่งที่ตนอยากพูดในวันนี้ คือ เรื่องการค้นบ้านซึ่งตนไม่ได้นำกุญแจบ้านมาให้ หรือกุญแจบ้านอยู่ที่จังหวัดเชียงราย
ไอซ์ สารวัตร อ้างว่า เรื่องนี้อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อน เนื่องจากตนนัดหมายเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะคนกลาง ไม่ได้เป็นเจ้าทุกข์หรือในฐานะอะไรก็ตาม ซึ่งการนัดหมายจุดประสงค์ คือ เป็นตัวกลางประสานงานให้ตำรวจที่ต้องการตรวจค้นบ้านซึ่งครอบครัวณัฐวุฒิก็ไม่ได้ติดอะไร
แต่ล่าสุดเกิดติดเรื่องของงานพิธีศพ จึงมีการนัดหมายในครั้งหน้า เพราะด้วยเวลานัดหมายของครอบครัวณัฐวุฒิและตำรวจอาจไม่ตรงกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ข่าวได้ออกไปจะมีการนัดหมายเปิดบ้านในวันนี้ (7 ธ.ค.) แต่ได้ให้ครอบครัวติดต่อขอเลื่อนเนื่องจากไม่สะดวก พร้อมย้ำว่าตนเป็นเพียงแค่คนประสานเป็รตัวกลาง ไม่ใช่คนที่ถือกุญแจบ้านมาและตนก็ไม่เคยถือกุญแจ“ นายสารวัตร กล่าว
เมื่อถามหากตำรวจเตรียมออกหมายค้นบ้าน อีกฝ่ายเสริมว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ส่วนตัวมองว่าควรค้นตั้งแต่วันแรกและหากประสานขอความร่วมมือก็คาดว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ
ส่วนหลักฐานทั้งหมดตำรวจน่าจะมีอยู่แล้วใช่หรือไม่ ไอซ์ สารวัตร ระบุตนไม่มั่นใจว่า เจ้าหน้าที่นั้นมีหลักฐานหมดหรือไม่เพราะยังไม่เคยเจอเจ้าหน้าที่ มีเพียงพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ ส่วนเรื่องคดีเป็นญาติๆ ที่เป็นผู้ดำเนินการ แต่คาดว่าคนที่จะมาบ้านอาจเป็นน้องชายของนายณัฐวุฒิ
ทั้งนี้มีรายงานล่าสุดว่า พยานให้ปากคำไว้ว่าคิดว่าผู้ตายแกล้ง ไม่คิดว่าจะกินยาจริงๆ คนที่เกี่ยวข้องจะมีการเรียกตัวมาสอบปากคำทุกคน ตอนนี้ทางบ้านมีการเปลี่ยนรหัสล็อกบ้าน เป็นทางญาติของเขาเปลี่ยนหลังการเสียชีวิต ตอนนี้เราแยกสอบหมดทุกราย เพิ่มประเด็นทุกข้อ และยังมีการนำเอาข้อมูลในโซเชียลที่ตั้งคำถามเอามาสอบปากคำด้วย ตอนนี้ยังไม่สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หรือการฆาตกรรม แต่ผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ 1 เดือนมีการเตรียมสารไว้แล้ว และยังมีพยานเพิ่มอีก 2 ท่านที่ต้องสอบเพิ่ม.



อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ไอซ์ รับเคยดูมือถือนัทปง ตร.เผยเพื่อน 3 คน ให้การมีประโยชน์ ต้น โผล่คนสุดท้าย
- บิ๊ก โฟนอินตอบ พุทธ คืนนั้นทำอะไร ณัฐวุฒิ ไม่กังวลคดีแต่รับประมาทดูแลพี่เขาไม่ดี
- เปิดภาพ บิ๊ก-ต้น ร่วมงานศพนัทปง คืนสุดท้าย คืนนี้ส่งร่างพิสูจน์ต่อ
- กู้ภัยหน้าบ้านนัทปง เข้าให้ปากคำ ยันพูดเรื่อง “หงส์” ปัดเรียกรับเงิน
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



