สุขภาพและการแพทย์อาหารไลฟ์สไตล์

กินน้ำตาล = ฆ่าเรา จริงไหม? เปิดงานวิจัย กินน้ำตาลแบบไหน ตายผ่อนส่ง

ช่วงหลัง ๆ โซเชียลชอบแชร์ประโยประมาณ “กินน้ำตาล = ฆ่าตัวเองช้า ๆ” จนหลายคนเริ่มกลัวข้าวเหนียวมะม่วงมากกว่ากลัวบุหรี่ ทั้งที่ชีวิตจริงเราเลี่ยงหวานได้ไม่หมดอยู่แล้ว คำถามคือ ถ้ามองข้อเท็จจริงตามงานวิจัยทางการแพทย์ น้ำตาลเลวร้ายขนาดนั้นไหม หรือที่น่ากลัวจริง ๆ คือ วิธีที่เรากินกันทุกวันกันแน่

น้ำตาลไม่ใช่ยาพิษ แต่ น้ำตาลอิสระ คือของที่กินเกินง่ายมาก

ก่อนจะตัดสินน้ำตาลว่าเป็นปีศาจ ต้องแยกให้ออกก่อนว่าอะไรคือ น้ำตาลแบบที่ร่างกายใช้เป็นปกติ กับอะไรคือ น้ำตาลที่เราไปใส่เพิ่มโดยไม่รู้ตัว

องค์การอนามัยโลก (WHO) ใช้คำว่า free sugars หรือน้ำตาลอิสระ หมายถึงน้ำตาลทุกชนิดที่ถูกเติมเพิ่ม ลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทราย น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง น้ำเชื่อมผลไม้ รวมถึงน้ำตาลที่อยู่ในน้ำผลไม้คั้นและน้ำผลไม้เข้มข้น ส่วนน้ำตาลในผลไม้ทั้งผล และในนมทั้งแก้ว จะไม่ถูกนับรวม เพราะมากับไฟเบอร์และโปรตีนที่ช่วยชะลอการดูดซึมและทำให้เราอิ่มง่ายขึ้นมากกว่าแค่ดื่มน้ำหวานหนึ่งแก้วแล้วหิวต่อทันที

WHO แนะนำชัดเจนว่า ทั้งผู้ใหญ่และเด็กควรจำกัดปริมาณ “free sugars” ให้ไม่เกิน 10% ของพลังงานที่กินทั้งวัน และถ้าลดลงได้ถึงระดับ 5% หรือต่ำกว่านั้นจะยิ่งดีต่อสุขภาพระยะยาว ซึ่งสำหรับคนที่กินวันละ 2,000 แคลอรี ตัวเลข 5% แปลว่า น้ำตาลจากการเติมเพิ่มทุกชนิดรวมกันวันหนึ่งประมาณ 25 กรัม หรือราว 6 ช้อนชาเท่านั้นเอง

สรุปง่าย ๆ คือ ร่างกายต้องใช้กลูโคสอยู่แล้ว แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การมีน้ำตาลแต่อยู่ที่ น้ำตาลที่เราเติมเพิ่มเข้าไปเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในรูปแบบของน้ำดื่มและอาหารแปรรูป

หนุ่มแค่วัย 19 ป่วยเบาหวาน หมอชี้ 4 ตัวการ ซ่อนอยู่ในอาหารที่คนกินทุกวัน

งานวิจัยชี้ชัด น้ำตาลส่วนเกินจาก “น้ำหวาน” ทำให้โรคเรื้อรังพุ่ง

เมื่อดูข้อมูลระยะยาวจากทั้งงานวิจัยแบบติดตามคนจำนวนมาก (cohort study) และงานสรุปรวมข้อมูล (meta-analysis) ภาพที่ชัดมาก ๆ คือ น้ำตาลที่ดื่มในรูปแบบ sugar-sweetened beverages (SSBs) เช่น น้ำอัดลม ชาใส่น้ำเชื่อม น้ำผลไม้หวานจัด มีความเกี่ยวข้องกับโรคกลุ่มเมตาบอลิกอย่างแน่นหนา

หลาย meta-analysis ในวารสารระดับท็อป เช่น BMJ และงานสรุปในวารสารด้านโภชนาการพบว่า คนที่ดื่มน้ำหวานเป็นประจำ มีโอกาสเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 สูงขึ้นราว 20–30% เมื่อเทียบกับคนที่แทบไม่ดื่มเลย และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่ดื่มต่อวันอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งดื่มทุกวัน ยิ่งเสี่ยงมากขึ้นในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดระดับโลกยังประเมินภาระโรคจากเครื่องดื่มหวาน พบว่า น้ำหวานมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเบาหวานและโรคหัวใจนับล้านเคสต่อปีในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศรายได้ปานกลางที่อุตสาหกรรมน้ำหวานเติบโตเร็วกว่าโครงสร้างสาธารณสุขที่รองรับโรคเรื้อรัง

“น้ำตาลไม่ได้ทำร้ายเราทันทีแก้วเดียว แต่การดื่มน้ำหวานไปเรื่อย ๆ ทุกวันโดยไม่รู้ตัวนี่แหละที่ค่อย ๆ ขยับตัวเลขน้ำหนัก รอบเอว น้ำตาลในเลือด และความเสี่ยงโรคในอนาคตขึ้นทีละนิด”

น้ำตาลในน้ำหวาน ทำให้ป่วยโรคเรื้อรัง
น้ำตาลในน้ำหวาน ทำให้ป่วยโรคเรื้อรัง

ไม่ใช่แค่เบาหวาน หัวใจ ตับ และหลอดเลือดก็โดนไปด้วย

สมาคมหัวใจอเมริกัน (American Heart Association) เคยออกแถลงการณ์ใหญ่เรื่อง “น้ำตาลกับหัวใจ” รวบรวมหลักฐานจากหลายงานวิจัยแล้วสรุปว่า การบริโภคน้ำตาลเพิ่มในปริมาณสูง เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มากขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งจากการที่ทำให้พลังงานรวมเกิน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และภาวะดื้อต่ออินซูลิน

มีงานวิเคราะห์ข้อมูลคนอเมริกันจำนวนมาก พบว่าคนที่ได้พลังงานจากน้ำตาลเพิ่มประมาณ 17–21% ของแคลอรีทั้งวัน มีความเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงกว่าคนที่กินน้ำตาลในสัดส่วนรอบ ๆ 8% ถึงราว 38% และถ้ากินน้ำตาลเพิ่มเกิน 21% ของพลังงานทั้งวัน ความเสี่ยงจะพุ่งขึ้นมากกว่าสองเท่า

ฝั่งตับเองก็ไม่ได้รอดปลอดภัยจากน้ำหวาน งานวิจัยสรุปรวมหลายชิ้นเกี่ยวกับ ไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD/MASLD) พบความสัมพันธ์ชัดเจนระหว่างการดื่มน้ำหวานกับความเสี่ยงไขมันพอกตับ ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ยิ่งดื่มเยอะ ยิ่งเสี่ยงสูงขึ้นแบบสัมพันธ์ตามปริมาณที่ดื่มต่อสัปดาห์

งานวิจัยใหม่ ๆ ยังพบว่า แค่ดื่มน้ำอัดลมไม่ถึงหนึ่งกระป๋องต่อวันก็สัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคไขมันพอกตับแบบเมตาบอลิกที่สูงขึ้นถึง 50% และที่น่าสนใจคือ เครื่องดื่มสูตร “ไดเอ็ต” ที่ใช้สารให้ความหวานบางชนิดในบางงานวิจัยกลับสัมพันธ์กับความเสี่ยงตับพอกสูงกว่าน้ำหวานธรรมดาเสียอีก แม้ยังต้องศึกษาเพิ่ม แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า “เปลี่ยนจากหวานปกติไปไดเอ็ต” อาจไม่ใช่คำตอบวิเศษแบบที่โฆษณามาตลอด

ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมเรื่องฟันที่เจอผลกระทบตรง ๆ จากน้ำตาลมานานแล้ว ทั้ง WHO และองค์กรด้านทันตกรรมต่างเห็นตรงกันว่า การบริโภค free sugars สูงและบ่อย เป็นปัจจัยสำคัญของฟันผุในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะเมื่อปริมาณเกิน 10% ของพลังงานต่อวัน และเมื่อรวมกับการแปรงฟันไม่ดีพอ โอกาสฟันผุจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

น้ำตาลทรายในขนม คือตัวการทำให้น้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุป่วยเบาหวานในระยะยาว
น้ำตาลทรายในขนม คือตัวการทำให้น้ำตาลในเลือดสูง สาเหตุป่วยเบาหวานในระยะยาว

แล้วเรื่อง น้ำตาลเลี้ยงมะเร็ง ล่ะ จริงหรือแค่คำขู่

ประโยคยอดฮิตอย่างกินหวานเท่ากับเลี้ยงมะเร็ง กลายเป็นมีมด้านสุขภาพไปแล้ว แต่องค์กรด้านมะเร็งระดับโลกมองเรื่องนี้ต่างออกไป

หลายองค์กร เช่น American Cancer Society, American Institute for Cancer Research, Cancer Council ในหลายประเทศ อธิบายไปในทิศทางเดียวกันว่า น้ำตาล “ไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง” และไม่มีหลักฐานว่าการตัดน้ำตาลหมดจากอาหารจะทำให้มะเร็งหายหรือยับยั้งการโตของก้อนมะเร็งโดยตรง สิ่งที่เห็นชัดคือ เมื่อเรากินน้ำตาลและอาหารแปรรูปมากเกินไป น้ำหนักจะเพิ่มง่ายขึ้น เกิดภาวะอักเสบเรื้อรัง และภาวะอ้วนซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิดต่างหาก

พูดให้ง่ายคือ น้ำตาลไม่ได้ “เลี้ยงมะเร็ง” แบบตรงไปตรงมา แต่น้ำตาลส่วนเกินช่วยเลี้ยงไขมันหน้าท้อง และสภาพร่างกายที่ทำให้โอกาสเป็นมะเร็งชนิดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในระยะยาว การโฟกัสที่การลดน้ำตาลเพิ่ม (โดยเฉพาะจากน้ำหวานและขนมแปรรูป) และดูแลน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีงานวิจัยหนุนมากกว่าแนวคิด “อดหวานเพื่ออดมะเร็ง”

แล้วสรุปว่า เราควรกินน้ำตาลเท่าไหร่ถึงจะไม่เสี่ยงเกินไป

ถ้าเอาตัวเลขที่ใช้กันบ่อยสุดมาดู จะมีอยู่สองชุดหลัก ๆ ที่ช่วยเป็นไกด์ในชีวิตจริง

ฝั่ง WHO เสนอให้จำกัด “free sugars” ต่ำกว่า 10% ของพลังงานทั้งหมด และถ้าให้ดีลดลงจนใกล้ 5% ขึ้นไป ซึ่งสำหรับคนทั่วไปที่กินวันละ 2,000 แคลอรี ตัวเลข 5% คือราว 25 กรัม หรือประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน ขณะที่ 10% จะอยู่ที่ประมาณ 50 กรัม หรือราว 12 ช้อนชา และนี่คือ “น้ำตาลเพิ่มทั้งหมดในวันนั้น” รวมทั้งในกาแฟ ขนม น้ำจิ้ม และอาหารแปรรูป

ทาง American Heart Association กลับให้เป้าที่เข้มกว่านั้นอีก โดยแนะนำว่าผู้หญิงไม่ควรได้แคลอรีจากน้ำตาลเพิ่มเกิน 100 แคลอรีต่อวัน (ราว 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชา) ส่วนผู้ชายอยู่ที่ 150 แคลอรีต่อวัน (ประมาณ 37.5 กรัม หรือ 9 ช้อนชา) และเน้นว่าหลักฐานที่ทำให้ต้องออกคำแนะนำนี้ มาจากความเชื่อมโยงระหว่างน้ำตาลส่วนเกินกับโรคหัวใจและปัญหาเมตาบอลิกต่าง ๆ ที่เล่าไปข้างต้น

ถ้าลองมองกลับชีวิตจริง น้ำอัดลมหนึ่งกระป๋องมาตรฐาน หรือชานมไข่มุกหวานจัดหนึ่งแก้ว สามารถให้พลังงานจากน้ำตาลเพิ่มเกือบเต็มโควตาของผู้หญิงทั้งวันได้ภายในแก้วเดียว และถ้าวันนั้นยังมีกาแฟเย็นใส่น้ำเชื่อม ขนมหวาน และน้ำจิ้มรสออกหวานอีก ทั้งหมดจะรวมกันเกิน guideline ได้ง่ายมากแบบที่เจ้าตัวยังไม่รู้สึกว่า “กินเยอะ” ด้วยซ้ำ

เครื่องดื่มหวานๆ แสนอร่อย 1 แก้ว ใช้น้ำตาลทรายในการทำเยอะมาก เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน
เครื่องดื่มหวานๆ แสนอร่อย 1 แก้ว ใช้น้ำตาลทรายในการทำเยอะมาก เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน

ชีวิตจริงไม่จำเป็นต้องศูนย์น้ำตาล แต่อย่าปล่อยให้น้ำหวานที่เราดื่มเป็นตัวทำร้าย

เมื่อเห็นภาพรวมของหลักฐานแล้ว จะเห็นว่าคำว่า “กินน้ำตาล = ฆ่าเรา” เป็นคำพูดที่เกินจริง แต่มันก็มีเมล็ดความจริงอยู่ คือ น้ำตาลส่วนเกิน ที่มักมาในรูปแบบที่ดื่มง่ายและกินเกินง่าย คือสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังยุคนี้

จุดที่จัดการได้ง่ายและคุ้มค่าที่สุดไม่ใช่การหักดิบไม่แตะหวานเลย แต่คือการมองสามเรื่องนี้ให้ชัดในชีวิตประจำวัน

1 คือ ลดน้ำหวานทุกชนิดให้เหลือในระดับกินนาน ๆ ที แทนกินทุกวันทุกมื้อ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ชานมหวานจัด กาแฟเย็นใส่น้ำเชื่อม หรือชาร้านดังที่ใส่น้ำตาลจนเกินความจำเป็น เพราะจากงานวิจัยเกือบทั้งหมด นี่คือแหล่งน้ำตาลที่สร้างปัญหาหนักที่สุดทั้งเรื่องเบาหวาน ไขมันพอกตับ และโรคหัวใจ

2 คือ ให้กินผลไม้ทั้งผล แทนที่จะพึ่งน้ำผลไม้หรือขนมแปรรูป การเคี้ยวผลไม้ทั้งผลทำให้เราได้ทั้งไฟเบอร์ วิตามิน และความอิ่ม ขณะที่น้ำผลไม้หนึ่งแก้วมักเทียบได้กับผลไม้หลายลูกในปริมาณน้ำตาล แต่ไม่มีกากมาช่วยชะลอการดูดซึม

3 คือ อ่านฉลากโภชนาการให้เป็น และยอมรับความจริงของตัวเองว่ารสชาติแบบไหนคือ “หวานปกติ” ในความรู้สึกเรา หลายคนเติบโตมากับเครื่องดื่มที่หวานกว่าที่ guideline สุขภาพจะรับไหว ถ้าเริ่มจากการสั่งหวานน้อยลงทีละสเต็ป ลดน้ำหวานจากทุกวันเหลือหลายวันครั้ง และชดเชยด้วยน้ำเปล่า ชาไม่หวาน หรือโซดาเปล่าบีบมะนาวแทน ร่างกายจะค่อย ๆ ชินกับระดับความหวานใหม่ที่ปลอดภัยกว่าเดิม

สรุปแล้ว น้ำตาลไม่ใช่ยาพิษที่จะทำให้เราพังทันทีที่กิน แต่งานวิจัยจำนวนมากจาก WHO สมาคมหัวใจ และองค์กรด้านมะเร็งต่าง ๆ ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า การกิน “น้ำตาลเพิ่ม” ในปริมาณสูง โดยเฉพาะจากน้ำหวานและอาหารแปรรูป ช่วยเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน เบาหวาน ไขมันพอกตับ โรคหัวใจ ฟันผุ และมะเร็งบางชนิดผ่านทางภาวะอ้วนและการอักเสบเรื้อรัง

ดังนั้น แทนที่จะเชื่อว่า “หวานคำเดียวเท่ากับฆ่าตัวเอง” แล้วเครียดกับขนมทุกคำ การมองแบบมีสติว่า “อะไรคือหวานที่จำเป็น อะไรคือหวานที่เกิน” และค่อย ๆ ลด free sugars ให้ใกล้ระดับที่ WHO และ AHA แนะนำ คือทางสายกลางที่ทั้งสอดคล้องกับงานวิจัยและอยู่ได้จริงในชีวิตประจำวัน

เรากินหวานได้ แต่อย่าให้ “แก้วนมเย็น ชานม และน้ำอัดลมทุกวัน” เป็นคนคุมเกมสุขภาพของเรา แค่นั้นก็ลดความเสี่ยงโรคอนาคตไปได้ไกลกว่าที่คิดแล้ว

อ้างอิงจาก

วิธีเช็กภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ทำอย่างไรบ้าง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button