สปอนเซอร์สุขภาพและการแพทย์

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาไหนได้บ้าง อันตรายไหม เข้าใจหัตถการก่อนทำ

ฉีดฟิลเลอร์ ตัวเลือกยอดนิยมของคนอยากหน้าเด็ก

ฉีดฟิลเลอร์ เป็นหนึ่งในหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เพราะช่วยแก้ปัญหาใบหน้าดูโทรม มีร่องลึก หรือขาดวอลลุ่มได้ทันที เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเหมาะกับคนที่อยากหน้าเด็กลงโดยไม่ต้องผ่าตัด

ในบทความนี้ จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ว่า คืออะไร ? ฉีดได้ตรงไหนบ้าง ? อันตรายหรือไม่ ? เจ็บไหม ? อยู่ได้นานแค่ไหน ? รวมถึงวิธีเลือกคลินิกที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุด เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกคนตัดสินใจก่อนเข้ารับการฉีดจริงครับ

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร ? เข้าใจง่ายในไม่กี่นาที

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร

ฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มประเภท ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ซึ่งเลียนแบบสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ หน้าที่หลักคือช่วยทดแทนคอลลาเจนและความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผิวที่เคยเหี่ยวย่น กลับมาเรียบตึงและอิ่มฟูขึ้น

การฉีดฟิลเลอร์จะเติมสาร HA เข้าไปบริเวณที่มีร่องลึกหรือขาดวอลลุ่ม เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หรือขมับ ส่งผลให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้นทันทีหลังทำ

นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังสามารถใช้ปรับรูปหน้าได้ เช่น เสริมคาง เสริมจมูก เติมริมฝีปากให้ได้รูป รวมถึงช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น ทำให้รูขุมขนเล็กลง และผิวโดยรวมดูเรียบเนียน นุ่มนวลขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติครับ

ฉีดฟิลเลอร์ จุดไหนได้บ้าง ? แต่ละจุดช่วยแก้ปัญหาอะไร ?

การฉีดฟิลเลอร์สามารถทำได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า โดยจุดที่นิยมมากที่สุดคือบริเวณที่มีร่องลึก ขาดวอลลุ่ม หรือสัดส่วนใบหน้าไม่สมดุล เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแล้วจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้นทันที โดยจุดที่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน มีดังนี้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์ จุดไหนได้บ้าง ? แต่ละจุดช่วยแก้ปัญหาอะไร

ฉีดฟิลเลอร์ขมับ

บริเวณขมับเป็นตำแหน่งที่มักเกิดปัญหาตอบหรือยุบตัวเมื่ออายุมากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูแข็งและไม่ละมุน การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมเต็ม ทำให้ใบหน้าดูอ่อนโยน ได้สัดส่วนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยยกพยุงผิวด้านบนอย่างโหนกแก้มและหางตาให้ดูดีขึ้นไปพร้อมกัน โดยทั่วไปปริมาณที่ใช้ประมาณ 2–4 CC

ฉีดฟิลเลอร์จมูก

จมูกเป็นจุดที่หลายคนอยากปรับให้ดูโด่งและได้สัดส่วน แต่ไม่อยากผ่าตัดศัลยกรรม การ ฉีดฟิลเลอร์จมูก จึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเสริมสันหรือปลายจมูกให้คมชัดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่มีฐานจมูกอยู่บ้างแต่ต้องการปรับรูปทรงเล็กน้อย เห็นผลทันทีหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น ปริมาณที่ใช้ทั่วไปประมาณ 1 CC

ฉีดฟิลเลอร์ปาก

ปัญหาปากบาง ริมฝีปากไม่สมส่วน หรือมีริ้วรอยรอบปาก สามารถแก้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ริมฝีปาก ช่วยเพิ่มความอวบอิ่ม ชุ่มชื้น และปรับรูปปากให้สวยเข้ากับใบหน้า โดยปกติใช้ฟิลเลอร์เพียง 1–2 CC ก็เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน

ฉีดฟิลเลอร์คาง

สำหรับคนที่มีคางสั้น คางถอย หรือคางสองข้างไม่เท่ากัน การฉีดฟิลเลอร์คางช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน แก้ปัญหาหน้ากลมให้เรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และยังเป็นจุดที่ทำให้โครงหน้าดูสมดุลมากขึ้น โดยทั่วไปใช้ประมาณ 1–2 CC

ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก

หน้าผากแบน ยุบ หรือเป็นแอ่ง ทำให้ใบหน้าดูแข็งและขาดมิติ การเติมฟิลเลอร์หน้าผากช่วยให้หน้าผากโค้งนูนอย่างพอดี ทำให้ภาพรวมใบหน้าดูละมุน อ่อนโยน และสมดุลมากขึ้น มักใช้ฟิลเลอร์มากกว่าจุดอื่น โดยเฉลี่ย 3–5 CC

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ใต้ตาเป็นจุดที่หลายคนกังวลมากที่สุด เพราะเมื่อมีร่องลึก ถุงใต้ตา หรือความหมองคล้ำ จะทำให้หน้าดูโทรมและเหนื่อย การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ทำให้ดวงตาดูสดใส อ่อนเยาว์ลงทันทีหลังทำ โดยทั่วไปใช้ 2–4 CC ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา

ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ร่องแก้มลึกเป็นอีกปัญหาที่ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัยและไม่สดใส การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มช่วยลดร่องลึกให้ตื้นขึ้น และเมื่อทำควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะยิ่งทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างชัดเจน โดยปริมาณที่ใช้ทั่วไป 1–3 CC


ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม ? สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายไหม

สำหรับคนที่สงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม คำตอบคือ “ไม่อันตรายครับ” หากเลือกฟิลเลอร์แท้ชนิด Hyaluronic Acid (HA) ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เพราะเป็นสารที่ปลอดภัย สลายได้หมด โดยไม่ตกค้างในร่างกาย และสามารถฉีดซ้ำได้เรื่อย ๆ อย่างปลอดภัย

ในทางการแพทย์ ฟิลเลอร์แบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ชนิดที่นิยมและปลอดภัยที่สุดคือ Hyaluronic Acid ส่วนประเภทอื่น ๆ เช่น คอลลาเจนจากสัตว์ ไขมันตนเอง หรือซิลิโคนเหลว มักไม่เป็นที่นิยมเพราะเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง เช่น บวมแดง อักเสบ หรือไม่สลายตัว

สิ่งที่ควรรู้คือ ความปลอดภัยของการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับ 3 อย่างหลัก ๆ ได้แก่

  • ชนิดฟิลเลอร์ ต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย.
  • สถานพยาบาล ต้องเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน
  • แพทย์ผู้ฉีด ต้องมีประสบการณ์สูงและใช้เทคนิคที่ถูกต้อง

ในทางกลับกัน หากเลือกฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือตามคลินิกราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน จะเสี่ยงอันตรายอย่างมาก เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง อักเสบติดเชื้อ ผิวเป็นคลื่นไม่เรียบ และในกรณีร้ายแรงอาจถึงขั้น เนื้อตายหรือตาบอดได้

สรุปคือ การฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่หัตถการที่อันตราย หากเลือกฟิลเลอร์แท้ แพทย์มีประสบการณ์สูง และคลินิกได้มาตรฐาน แต่จะอันตรายทันทีถ้าใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือทำกับผู้ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ครับ

ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม ? หลังฉีดบวมกี่วันเห็นผล ?

การฉีดฟิลเลอร์ เจ็บเพียงเล็กน้อย เนื่องจากแพทย์มักแปะยาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ ระหว่างฉีดอาจรู้สึกตึง ๆ หรือจี๊ดเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วเป็นความรู้สึกที่ทนได้ ไม่ได้เจ็บรุนแรงอย่างที่หลายคนกังวล

หลังฉีดสามารถ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที แต่ในช่วงแรกอาจมีอาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 7–14 วัน และเมื่อครบประมาณ 2 สัปดาห์ ฟิลเลอร์จะเข้าที่เต็มที่ ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและชัดเจนมากขึ้นครับ

ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน ? กี่เดือน ?

ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน

ฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานประมาณ 6–24 เดือน ขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อ รุ่น และตำแหน่งที่ฉีด เพราะฟิลเลอร์แต่ละตัวถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ทั้งความคงตัว เนื้อเจล ความยืดหยุ่น รวมถึงจุดที่เหมาะสมในการฉีด

ดังนั้นจึงไม่มีฟิลเลอร์ยี่ห้อเดียวที่ใช้ได้กับทุกตำแหน่ง แพทย์จะเป็นผู้ประเมินปัญหาและเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับใบหน้าและความต้องการของแต่ละเคส

ปัจจุบันฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. มีหลายยี่ห้อจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีหลายรุ่นย่อย พร้อมระยะเวลาการคงตัวที่แตกต่างกัน ดังนี้ครับ

ฟิลเลอร์ Restylane (สวีเดน)

  • Restylane Perlane Lyft : อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Vital Light : อยู่ได้นาน 6–12 เดือน
  • Restylane Vital : อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Volyme : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane Defyne : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Restylane Refyne : อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Restylane Classic : อยู่ได้นาน 8 เดือน
  • Restylane Kysse : อยู่ได้นาน 12 เดือน

ฟิลเลอร์ Juvederm (อเมริกา)

  • Juvederm Ultra Plus : อยู่ได้นาน 8 เดือน
  • Juvederm Voluma : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Juvederm Volbella : อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Juvederm Volift : อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Juvederm Volite : อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
  • Juvederm Volux : อยู่ได้นาน 18-24 เดือน

ฟิลเลอร์ Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)

  • Belotero Intense : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Belotero Volume : อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
  • Belotero Revive : อยู่ได้นาน 6–9 เดือน 

ฟิลเลอร์ Definisse (อิตาลี)

  • Definisse Restore : อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Definisse Core : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Definisse Touch : อยู่ได้นาน 8–12 เดือน 

ฟิลเลอร์ Teoxane (สวิตเซอร์แลนด์)

  • Teoxane Ultra Deep : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Teoxane RHA 1 : อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Teoxane RHA 2 : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Teoxane RHA 3 : อยู่ได้นาน 18 เดือน
  • Teoxane RHA 4 : อยู่ได้นาน 15-18 เดือน
  • Teoxane Redensity 2 : อยู่ได้นาน 12 เดือน

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย โดยสิ่งที่ควรทำ มีดังนี้ครับ

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์

  • ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตถูกต้อง เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ รวมถึงการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความมั่นใจว่าจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและคุ้มค่า
  • งดยาบางชนิดและวิตามิน อย่างน้อย 3–7 วันก่อนทำ เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน E, St. Johns Wort, ginkgo biloba, primrose oil, garlic, ginseng เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการบวมช้ำ
  • งดการทำหัตถการหรือทรีตเมนต์บางอย่าง เช่น การผลัดเซลล์ผิว การโกนขน การเลเซอร์ หรือการนวดหน้า อย่างน้อย 3 วันก่อนฉีด
  • แจ้งแพทย์เรื่องโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่ เพื่อให้แพทย์ประเมินความปลอดภัย บางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยาห้ามเลือดหรือยาลดบวมเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • การลดความเจ็บปวด สามารถแจ้งแพทย์เพื่อแปะยาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำได้ เพื่อให้คนไข้สบายใจและลดความกังวลระหว่างการฉีด

หากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้หลังฉีดฟิลเลอร์ จะช่วยลดความเสี่ยง แก้ปัญหาบวมช้ำ และทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัยมากขึ้นครับ

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ เคล็ดลับให้ผลลัพธ์สวยนาน

การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์

หลังฉีดฟิลเลอร์ สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เพราะจะช่วยลดอาการบวมช้ำ ป้องกันการติดเชื้อ และทำให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็วขึ้น รวมถึงช่วยยืดอายุผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น โดยมีข้อแนะนำดังนี้ครับ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด ไม่ควรแตะ แกะ เกา หรือกดนวด โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวได้ หากมีอาการบวม แดง หรือเขียวช้ำ ถือเป็นเรื่องปกติและจะดีขึ้นภายใน 2–3 วัน แต่ถ้าหลัง 3 วันอาการบวมมากขึ้น ควรติดต่อกลับมาที่คลินิกทันที
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง หากก่อนทำไม่ได้รับยาฆ่าเชื้อ หลังทำควรรีบทานยาฆ่าเชื้อ รวมถึงยาลดบวมและยาแก้ปวดตามที่แพทย์จัดให้
  • หลีกเลี่ยงความร้อนและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เช่น การซาวน่า การออกกำลังกายหนัก การตากแดดจัด
  • งดเลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เสื่อมสลายเร็ว
  • ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า ไม่ขยับหรือบิดผิวแรง ๆ โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ หลังฉีด
  • งดอาหารและเครื่องดื่มบางประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด, อาหารที่ต้องอยู่หน้าเตาร้อน ๆ เช่น หมูกระทะ ชาบู, อาหารหมักดอง เผ็ดจัด หวานจัด และอาหารดิบที่ไม่สะอาด
  • งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ยุบบวมช้าและส่งผลให้ฟิลเลอร์อยู่ได้สั้นลง

หากปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ออกมาสวย เข้าที่เร็ว และอยู่ได้นานขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติครับ

ฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่ ? รู้ปัจจัยที่กำหนดราคา

ฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่

ราคาฉีดฟิลเลอร์อยู่ในช่วง 7,490 – 16,900 บาทต่อจุด ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่น ปริมาณที่ใช้ ตำแหน่งที่ฉีด และประสบการณ์ของแพทย์ โดยตัวอย่างราคาเริ่มต้น ได้แก่

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา : เริ่มต้น 7,500 บาท
  • ฟิลเลอร์คาง : เริ่มต้น 7,500 บาท
  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม : เริ่มต้น 7,490 บาท
  • ฟิลเลอร์ปาก : เริ่มต้น 12,900 บาท
  • ฟิลเลอร์ขมับ : เริ่มต้น 7,490 บาท
  • ฟิลเลอร์หน้าผาก : เริ่มต้น 11,000 บาท
  • ฟิลเลอร์จมูก : เริ่มต้น 16,900 บาท

ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าคนไข้ควรใช้ฟิลเลอร์รุ่นไหน ปริมาณกี่ CC และฉีดอย่างไรให้เหมาะสมกับโครงหน้าของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและปลอดภัยที่สุดครับ

ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ? วิธีเลือกคลินิกปลอดภัยที่สุด

ฉีดฟิลเลอร์ ที่ไหนดี

หลายคนมักสงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี คำตอบคือควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน และปลอดภัยที่สุด โดยมีเกณฑ์สำคัญที่ควรเช็กก่อนตัดสินใจ ดังนี้ครับ

  1. คลินิกถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการจดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตถูกต้อง มีการแสดงเลขที่ใบอนุญาตประกอบการ รวมถึงชื่อและรูปถ่ายแพทย์อย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ทำหัตถการคือแพทย์จริง 
  2. ใช้ฟิลเลอร์แท้ผ่าน อย. ฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยที่สุดคือชนิด Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งสามารถสลายได้เอง ภายใน 1–2 ปี หากผลลัพธ์ไม่พอใจสามารถฉีดสลายหรือเติมเพิ่มได้โดยไม่มีสารตกค้างและไม่ก่ออันตราย 
  3. แพทย์มีประสบการณ์สูงและมีความรู้เรื่องกายวิภาคใบหน้า เพราะการฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่แค่เติมสารเข้าไป แต่ต้องเข้าใจกายวิภาค จุดที่ควรหลีกเลี่ยง และเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน หรือเส้นเลือดอุดตัน

ตัวอย่างเช่นที่ V Square Clinic จะเลือกใช้เฉพาะฟิลเลอร์แท้จากแบรนด์ระดับโลกที่ผ่าน อย. นำเข้าอย่างถูกต้อง และฉีดโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากทั้งคนไข้ทั่วไปและดารา-เซเลบริตี้จำนวนมาก พร้อมสาขาครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ฉีดฟิลเลอร์ ที่ V Square Clinic

สรุปเรื่องการฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับใคร คุ้มค่าหรือไม่ ?

การ ฉีดฟิลเลอร์ เหมาะกับคนที่มีปัญหาร่องลึก ใบหน้าขาดวอลลุ่ม หรืออยากปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ เห็นผลทันทีหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น และหากเลือกฟิลเลอร์แท้ชนิด Hyaluronic Acid (HA) ก็มั่นใจได้ว่าปลอดภัย สามารถสลายได้หมด โดยไม่ตกค้างในร่างกาย

โดยรวมแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ถือว่าคุ้มค่า เพราะผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6–24 เดือน ทั้งยังสามารถเติมเพิ่มหรือฉีดสลายได้หากไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ และฉีดโดยแพทย์มากประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติครับ



ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Thaiger

The Thaiger นำเสนอข่าวสารล่าสุดและอัปเดตจากทั่วประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button