การเงินสปอนเซอร์

ปูพื้นฐานสู่มือาชีพ เจาะลึก 5 ทฤษฎีวิเคราะห์ทางเทคนิค เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจได้ว่า ควรเทรดอะไร เข้าเมื่อไร และถือสถานะนานแค่ไหน

หลักคิดสำคัญนั้นง่ายมาก ทุกข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจหรือปัจจัยอื่น ล้วนสะท้อนอยู่ในราคาแล้ว ดังนั้นเพียงวิเคราะห์ “ราคา” และ “ปริมาณซื้อขาย” ก็สามารถจับสัญญาณทางจิตวิทยาของตลาด และคาดการณ์การเคลื่อนไหวล่วงหน้าได้

นักเทรดที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคต้องตอบคำถามหลัก 3 ข้อให้ได้

  1. แนวโน้มหลัก (Trend) ที่ควรติดตามคืออะไร?
  2. จุดไหนที่สถาบันการเงินรายใหญ่เริ่มสะสมหรือเริ่มขาย?การเงิน
  3. ระดับราคาและเวลาใดที่มีโอกาสหยุดพักหรือกลับตัว?

มี 5 ทฤษฎีคลาสสิกที่ช่วยตอบคำถามเหล่านี้ โดยสามารถประยุกต์ใช้จริงได้ดังนี้

1. ทฤษฎีของดาว (Dow Theory) จับแนวโน้มหลัก

ชาลส์ เอช. ดาว (Charles H. Dow) ได้แบ่งประเภทของแนวโน้มออกเป็น 3 ระดับ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สุดสำหรับการระบุเทรนด์

  • แนวโน้มหลัก (Primary Trends): กินระยะเวลา 1-3 ปี
  • แนวโน้มรอง (Secondary Trends): กินระยะเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • แนวโน้มย่อย (Minor Trends): กินระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์

ดาวเชื่อว่า เทรนด์นั้นจะน่าเชื่อถือก็ต่อเมื่อดัชนีตลาดที่เกี่ยวข้องกันสองตัวเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน และปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นสอดคล้องไปกับทิศทางของเทรนด์นั้น ดังนั้น เทรดเดอร์ในปัจจุบันจึงต้องเริ่มต้นด้วยการจำแนกประเภทของเทรนด์ที่เกิดขึ้น แล้วจึงวางโพสิชั่นของตัวเองให้สอดคล้องไปกับแนวโน้มหลักเสมอ

2. วิธีของไวคอฟฟ์ (Wyckoff Method) มองให้ออกว่ารายใหญ่กำลังทำอะไร

เทรดเดอร์จำเป็นต้องอ่านเกมให้ออกว่าผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดกำลังวางตำแหน่งตัวเองอย่างไร ริชาร์ด ดี. ไวคอฟฟ์ เรียกการวางตำแหน่งที่ซ่อนอยู่นี้ว่า การสะสม (Accumulation) หรือการแอบซื้อ และ การกระจาย (Distribution) หรือการแอบขายนั่นเอง

ไวคอฟฟ์เน้นย้ำให้เทรดเดอร์อ่านแท่งเทียนควบคู่ไปกับปริมาณการซื้อขายเสมอ เช่น หากราคาดิ่งลงมาแล้วเกิดแท่งเทียนที่มีช่วงกว้าง พร้อมกับวอลุ่มที่สูงมาก อาจเป็นสัญญาณว่ารายใหญ่กำลังเข้าเก็บของ ในทางกลับกัน หากราคาวิ่งขึ้นไปเล็กน้อยแต่สวนทางกับวอลุ่มที่ลดลง มักเป็นสัญญาณของการปล่อยของ

ตรรกะนี้ยังคงใช้ได้ผลดีเยี่ยมในตลาดดิจิทัลปัจจุบัน เทรดเดอร์ที่มองเห็นสัญญาณเหล่านี้จะสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด นั่นคือการเข้าเทรดในขณะที่ราคากำลังจะสิ้นสุดรอบแล้ว

3. ทฤษฎีของแกนน์ ความสัมพันธ์ระหว่างราคากับเวลา

ดับเบิลยู. ดี. แกนน์ มองว่า ราคากับเวลา คือ “ปัจจัยการผลิต” ที่มีความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนกันได้ เครื่องมือของเขาประกอบด้วย

  • Gann Angles: เส้นมุม 1×1 (ทำมุม 45 องศาบนกราฟที่ปรับสเกลเท่ากัน) หมายถึงจุดสมดุล หากมุมชันกว่านี้หมายถึงราคามีความเร่ง แต่ถ้ามุมแบนลงหมายถึงโมเมนตัมเริ่มแผ่ว
  • Square of Nine: ระดับราคาที่อยู่ ณ ตำแหน่ง 90°, 180° หรือ 270° รอบจุดหมุน มักจะเป็นแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
  • Time Cycles: ตลาดมักจะเปลี่ยนทิศทางหลังจากเวลาผ่านไป 1/8, 1/4 หรือ 1/2 ของช่วงการเคลื่อนไหวก่อนหน้า โดยวัดเป็นจำนวนวันหรือสัปดาห์

แม้เทคนิคของแกนน์จะมีรากฐานที่ซับซ้อน แต่แพลตฟอร์มเทรดส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีเครื่องมืออัตโนมัติเหล่านี้ติดตั้งมาให้แล้ว ทำให้เทรดเดอร์สามารถนำหลักการของเขาไปใช้ได้โดยไม่ต้องคำนวณเอง

4. ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Theory) จับจังหวะจิตวิทยาตลาด

ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตช่วยให้เทรดเดอร์ระบุได้ว่าการขึ้นหรือลงของราคาในรอบนั้น ๆ เกิดขึ้นเพื่อใคร ระหว่าง “ผู้ที่ตามเทรนด์” หรือ “ผู้ที่เทรดสวนเทรนด์”

ราล์ฟ เอ็น. เอลเลียต (Ralph N. Elliott) สังเกตว่าวัฏจักรของตลาดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่เป็น 5 คลื่น (Impulsive Wave) ตามด้วย คลื่นปรับฐาน 3 คลื่น (Corrective Wave) แต่ละคลื่นจะสะท้อนถึงอารมณ์ของมวลชนในแต่ละช่วง ไม่ว่าจะเป็นความโลภหรือความกลัว

การระบุได้ว่าขณะนี้ตลาดอยู่ในคลื่นลูกไหน จะช่วยให้เทรดเดอร์ประเมินได้ว่าการเคลื่อนไหวนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้เล่นหน้าใหม่ หรือเป็นเพียงการให้รางวัลแก่คนที่ถือโพสิชั่นอยู่แล้ว

5. ฟีโบนัชชี รีเทรซเมนต์ (Fibonacci Retracement) การวัดสัดส่วนของตลาด

เลขฟีโบนัชชี คือลำดับของตัวเลขที่ตัวเลขถัดไปเกิดจากการนำเลข 2 ตัวก่อนหน้ามาบวกกัน มักเริ่มต้นที่ 0 และ 1 ทำให้เกิดลำดับเป็น 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, … ไปเรื่อยๆ ในธรรมชาติ ใช้อธิบายรูปแบบการเติบโตของสิ่งมีชีวิต เช่น การเรียงตัวของเมล็ดทานตะวัน เปลือกหอย และกลีบดอกไม้ ในศิลปะและสถาปัตยกรรม: ใช้สร้าง “สัดส่วนทองคำ” (Golden Ratio) ที่ทำให้ผลงานดูสวยงามลงตัว เช่น ในภาพวาดโมนาลิซา หรือมหาวิหารพาร์เธนอน

เช่นเดียวกับที่ระบบในธรรมชาติมีสัดส่วนที่กลมกลืน ตลาดการเงินก็เช่นกัน ลำดับเลขของฟีโบนัชชีได้ให้กำเนิดระดับการย่อตัวที่ 38.2%, 50% และ 61.8% ซึ่งเทรดเดอร์นิยมใช้เพื่อหาระดับราคาสำคัญในแนวโน้มนั้น ๆ

ตัวอย่างเช่น หลังจากการพุ่งขึ้นของราคาอย่างรุนแรง การย่อตัวลงมาแล้วพบแนวรับที่บริเวณ 61.8% มักถูกมองว่าเป็นเพียง “การปรับฐานเพื่อไปต่อ” ไม่ใช่ “การกลับตัว” การลากเส้นรีเทรซเมนต์เหล่านี้ในไทม์เฟรมต่าง ๆ จะช่วยให้เทรดเดอร์หาโซนที่เหมาะสมสำหรับเข้าเทรด ตั้งจุดตัดขาดทุน หรือทำกำไรได้

การผสาน 5 ทฤษฎีเพื่อการเทรดที่เฉียบคม

ไม่มีทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่สามารถตอบทุกโจทย์ได้ กระบวนการวิเคราะห์ที่รอบด้านมักจะมีลำดับดังนี้

  • Dow Theory ใช้กำหนดแนวโน้มหลักของตลาด
  • Wyckoff Method ใช้ยืนยันว่ารายใหญ่กำลังไปในทิศทางเดียวกับเราหรือไม่
  • Elliott Wave ใช้ระบุว่าตอนนี้อารมณ์ตลาดอยู่ในช่วงไหน
  • Fibonacci ใช้กำหนดเป้าราคาและโซนแนวรับ-แนวต้าน
  • Gann ใช้คาดการณ์ช่วงเวลาที่อาจเกิดจุดกลับตัวสำคัญ

การผสมผสานวิธีการเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกรองสัญญาณที่ขัดแย้งกันออกไป และสร้างมุมมองต่อตลาดที่แม่นยำและเป็นหนึ่งเดียว

ยังคงใช้ได้จริงในยุคอัลกอริทึม

ความจริงพื้นฐานคืออารมณ์ของมนุษย์ ความกลัว ความโลภ ความหวัง ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด การเทรดด้วยอัลกอริทึมความถี่สูง (HFT) อาจบีบกรอบเวลาให้สั้นลง แต่ไม่ได้กำจัดความผันผวนของราคา นักลงทุนสถาบันยังคงต้อง “สะสมของ” ก่อนจะดันราคาขึ้น และ “กระจายของ” ก่อนที่ราคาจะร่วงลง

ดังนั้น ทฤษฎีคลาสสิกเหล่านี้จึงยังคงทรงพลังเสมอ เพราะช่วยให้เทรดเดอร์

  • กำหนดความเสี่ยง: ระดับราคาจาก Fibonacci และ Gann ช่วยนำทางการตั้ง Stop-loss และ Take-profit
  • หาจังหวะเข้าเทรด: Wyckoff และ Elliott ช่วยระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าสู่ตลาด
  • สร้างวินัยในการเทรด: แนวทางที่เป็นระบบช่วยควบคุมการตัดสินใจด้วยอารมณ์เมื่อเจอกับความผันผวนระยะสั้น

เครื่องมือที่ใช้ได้จริงจาก EC Markets

แม้โลกการเทรดจะก้าวไปสู่ยุคของ AI และ Machine Learning แต่อารมณ์ของมนุษย์ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของทฤษฎีเหล่านี้ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เทรดเดอร์ในปัจจุบันยังคงต้องตีความรูปแบบเหล่านี้ เพียงแต่อยู่ในไทม์เฟรมที่สั้นลง

การทำความเข้าใจรากฐานเหล่านี้อย่างลึกซึ้งช่วยให้เทรดเดอร์ยุคใหม่ได้เปรียบอย่างชัดเจน:

  • การวิเคราะห์หลายมิติ: การมองกราฟผ่านเลนส์ของเทรนด์ วอลุ่ม เวลา และสัดส่วน ช่วยให้เห็นโอกาสที่การวิเคราะห์แบบมิติเดียวมองไม่เห็น
  • การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ: เมื่อมีแนวรับ-แนวต้าน และจังหวะเวลาที่ชัดเจน ก็สามารถสร้างแผนการเทรดที่นำไปใช้ได้จริง
  • วินัยทางจิตวิทยา: การเทรดตามกฎเกณฑ์ช่วยลดปฏิกิริยาที่หุนหันพลันแล่นได้

EC Markets คือสะพานเชื่อมระหว่างทฤษฎีและการลงมือเทรดจริง แอปพลิเคชัน EC App ของเรามาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์ในตัวและแหล่งข้อมูลเพื่อการเรียนรู้มากมาย ไม่ว่าคุณจะกำลังสร้างกลยุทธ์แรกหรือปรับปรุงแผนการเทรดที่มีอยู่ คุณจะพบทั้งข้อมูลเชิงลึกและการสนับสนุนแบบเรียลไทม์ที่จำเป็น เพื่อนำหลักการอมตะเหล่านี้ไปปรับใช้ด้วยความมั่นใจ

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Thaiger

The Thaiger นำเสนอข่าวสารล่าสุดและอัปเดตจากทั่วประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx