
28 Years Later (2025) รีวิว : ภารกิจพ่อลูกหนีตาย ตั้งคำถามความเป็นมนุษย์ คงสภาพสไตล์ แฮนด์ดี้แคม ถ่ายด้วย ไอโฟน
แดนนี่ บอยล์ กลับมาเปิดจักรวาลสยองขวัญที่เขาปลุกปั้นไว้ตั้งแต่ 28 Days Later (2002) พร้อมมือเขียนบทคู่บุญ อเล็กซ์ การ์แลนด์ เขยิบเวลาไปข้างหน้าอีก 28 ปี เต็ม ๆ เพื่อประเทศอังกฤษยุคหลังโรคระบาด ที่ถูกกักกันจนกลายเป็นดินแดนต้องห้าม ทว่าโลกภายนอกก็ไม่ได้ปลอดภัยกว่ากันนัก “มนุษย์เราผ่านอะไรมาบ้างหลังภัยระบาดระดับโลก?”
หนังเปิดฉากด้วยเหตุสังหารสยองกลางโบสถ์ พาเราไปรู้จัก “จิมมี่” (แจ็ก โอ’คอนเนลล์) เด็กหนุ่มหม่นหมองผู้รอดชีวิต ก่อนตัดสู่ “เจมี” (แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน) คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่พาลูกชายวัย 12 ปี “สไปก์” (อัลฟี วิลเลียมส์) ข้ามคอสะพานครึ่งจมดินออกล่าเสบียงบนแผ่นดินใหญ่ ฉากวิ่งหนีอสูรซอมบี้ สปีดเสือชีตาห์ใต้แสงเหนือและดวงดาว คือตัวอย่างงานภาพเหนือจริงที่บอยล์กับตากล้องแอนโทนี ดอด แมนเทิลรังสรรค์ด้วย iPhone รุ่นล่าสุดในสัดส่วนเฟรม “ยาวพาโนรามา” แหวกขนบ
เมื่อสองพ่อลูกกลับถึงเกาะโฮลีอันสันโดษ ก็พบเหตุผิดปกติกับ “แม่” (โจดี โคเมอร์) ที่เริ่มก้าวร้าว มีท่าทางสับสน เจมีจึงจำใจออกตามหา “หมอเคลสัน” (ราล์ฟ ไฟน์ส) ผู้ลือกันว่าเผาศพผู้ติดเชื้อเป็นพันบนชายฝั่งสกอตแลนด์ เพื่อไขปริศนาเชื้อกลายพันธุ์และความหวังในการรักษา
28 Years Later เปลี่ยนจากความกลัวการติดเชื้ ไปสู่คำถามสองข้อใหญ่ คือ เราหวาดกลัวความตายหรือผู้คนต่างกลุ่มกันแน่?
2,มนุษย์ผู้ติดเชื้อ ยังเหลือความเป็นคนหรือไม่?
บอยล์เลือกปลุกมนุษยธรรม ขึ้นมากลางซากศพ แทนที่จะปักใจว่าใครติดเชื้อต้องถูกกำจัดเท่านั้น ฉากวิหารกระดูก ช่วงท้าย หยิบประเด็นศาสนาปลายเปิดมาท้าทายว่า ระหว่างคนปกติกับผู้ติดเชื้อที่คลุ้มคลั่ง ใครกันแน่เป็นภัยร้ายแท้จริง ชวนให้นึกถึงบทสรุปในคฤหาสน์แมนเชสเตอร์ของภาคแรกที่มนุษย์ยังคงเป็นสัตว์นักล่าที่โหดร้ายที่สุด
ด้านงานสร้าง สดใหม่ แต่ยังคงสไตล์ “บ้าน ๆ ชวนคลื่นไส้”
ภาพคงลายเซ็นบอยล์ กล้องดิจิทัลคล้ายฟุตเทจโฮมวิดีโอยังอยู่ครบ ทว่าความละเอียดระดับ 4K เฟรมกว้างยิ่งขยายความหวาดผวาให้กัดกินสายตาผู้ชม
จอน แฮร์ริส จงใจตัดต่อข้ามเส้น 180° สลับภาพอินฟราเรด แฟลชแบ็กอัศวินยุคกลางมาปั่นประสาท การออกแบบซอมบี้เชื้อ Rage รุ่นใหม่เน้นร่างบวมน้ำ เมือกล้นปาก คลานเขมือบดิน กึ่งซอมบี้กึ่งสัตว์เลื้อยคลาน เพิ่มไดนามิกให้ฉากวิ่งหนียิ่งตื่นเต้น ด้านดนตรีประกอบ เสียงไวโอลินครางโหยสลับบีตอิเล็กโทรชวนหลอน เติมพลังให้ฉากแอ็กชันหัวใจเต้นระส่ำ
ส่วนนักแสดง แอรอน กับ อัลฟี ถ่ายทอดเคมีพ่อลูกระหว่างสิ้นหวังกับความหวังได้อบอุ่น น่าหยิกใจจนเราอดลุ้นชะตาไม่ได้ โจดี โคเมอร์ เด่นไม่แพ้ใครกับบทหญิงที่อาจกลายเป็น แม่มดสมัยใหม่ อยู่ร่อมร่อ ราล์ฟ ไฟน์ส ผสมผสานเสน่ห์นักวิทย์สันโดษกับรัศมี “พันเอกเคิร์ตซ์” ได้ขนลุกทุกช็อต
28 Years Later หนังซอมบี้ที่ไม่ใช่แค่ซอมบี้
“เราและผู้ติดเชื้ออาจคล้ายกันกว่าที่คิด” — หมอเคลสัน ประโยคสั้น ๆ นี้สะท้อนเจตนารมณ์ของหนังทั้งเรื่อง 28 Years Later ไม่เพียงคืนชีพแฟรนไชส์สยองขวัญระดับตำนาน แต่ยังแปรเปลี่ยนสูตรสำเร็จหนังเชื้อไวรัสให้กลายเป็นงานไตร่ตรองชีวิตหลังวิกฤต บอยล์ผสานความระทึกแบบ edge-of-your-seat เข้ากับสารคัดหลั่งทางปรัชญาที่ไหลท่วมจอ ทำให้คนดูต้องตั้งคำถามกับสัญชาตญาณเอาตัวรอดของตนเอง
ต้องดูในโรง เพื่อซึมซับภาพพาโนรามาหลอนตาและเสียงอสูรรัวกลองหัวใจให้ดังสนั่น ขณะรอภาคต่อ The Bone Temple ต้นปีหน้า อย่าลืมถามตัวเองว่า “ถ้าโลกติดเชื้ออีกครั้ง เราจะเป็นผู้รอดชีวิต หรือผู้ล่า?”
คะแนน: ★★★★☆ (4/5)
ติดตาม The Thaiger บน Google News: