
เทียบสมการ ค่าแรงขั้นต่ำ ไทย VS กัมพูชา รายจ่ายค่ากินข้าว อาหารต่อมื้อ ใครแซงใครบนเส้น GDP ทางเติบโตทางเศรษฐกิจ
ช่องข้ามแดนที่อรัญประเทศหรือเมืองปอยเปต ภาพที่เห็นทุกวันคือขบวนแรงงานกัมพูชาที่ยกกระเป๋าใบโตข้ามพรมแดนสู่ฝั่งไทย ทำไมชาวกัมพูชาต้องข้ามมาทำงานในไทย แทนที่จะทำงานในบ้านเกิด คงต้องถอยมาส่องตัวเลขใหญ่ของสองชาติพุทธเพื่อนบ้านเสียก่อน
เศรษฐกิจไทยยังคงมีขนาดใหญ่กว่าอย่างชัดเจน กองทุนการเงินระหว่างประเทศประเมินจีดีพี (Nominal GDP) ของไทยปี 2566 ราว 5.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเฉลี่ยหัวประชากรจะอยู่ที่ 7,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่กัมพูชายืนอยู่ที่จีดีพีประมาณ 300 กว่าพันล้านดอลลาร์ฯ จีดีพีต่อหัวเพียง 1,800 ดอลลาร์ฯ ช่องว่างรายได้จึงกว้างเกือบ 4 เท่าตัว บ่งบอกว่ากำลังซื้อรวม ตลอดจนโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทยยังนำหน้าพอสมควร
ช่องว่างนี้ปรากฏชัดที่สุดเมื่อเปรียบเทียบ “ค่าแรงขั้นต่ำ” ที่เป็นหัวใจของแรงงานไร้ทักษะซึ่งเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนเป็นหลัก
หากอ้างอิงตัวเลข ประเทศไทยปรับค่าแรงขั้นต่ำ 1 มกราคม 2567 สูงสุด 400 บาทต่อวัน ต่ำสุด 337 บาทต่อวัน หากคิดเป็นรายเดือนจะเทียบเท่า 10,400 – 11,000 บาท หรือราว 290 ดอลลาร์ฯ ต่อเดือน
ส่วนกัมพูชายังคงยึดอัตราค่าแรงขั้นต่ำภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้า (FMW) ปี 2567 ที่ 204 ดอลลาร์ฯ ต่อเดือน หากเฉลี่ยวันทำงาน 26 วันจะเท่ากับราว 6.8 ดอลลาร์ฯ หรือ 250 บาทต่อวัน เมื่อคำนวณกำลังซื้อเชิงเปรียบเทียบ (PPP) ช่องว่างอาจแคบลงบ้าง แต่สำหรับแรงงานระดับล่างแล้ว ค่าแรงในไทยยังสูงกว่าราว 40–60% นั่นคือแรงจูงใจหลักของการข้ามแดน
อย่างไรก็ตาม “ค่าจ้างสูงกว่า” จะมีความหมายหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับ “ค่าครองชีพ” ปลายทาง—สมการง่าย ๆ ในกระเป๋าแรงงานคือ เงินที่เหลือส่งกลับบ้านหลังหักค่าอยู่-กิน
ในเมืองไทย ต่างจังหวัด กรุงเทพชั้นนอก ทุกวันนี้การฝากท้องกับร้านข้าวถุงริมทางต้องเตรียมงบ 45–60 บาทต่อมื้อ ส่วนอาหารชุดตามศูนย์การค้าเริ่มต้นราว 70–100 บาท ขณะที่ในกรุงพนมเปญ อาหารจานเดียวริมถนนยังหาซื้อได้ในราคา 8,000–12,000 เรียล หรือประมาณ 80–120 บาทต่อมื้อ เมื่อรวมค่าเช่าที่พักและการเดินทาง ไทยจึงยังคงได้เปรียบด้าน “รายได้สุทธิ” แม้ค่าครองชีพจะสูงกว่าเล็กน้อย เพราะต่างด้าวจำนวนมากแชร์ห้องพักเพื่อลดค่าใช้จ่าย
อีกเหตุผลหนึ่งคือโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่หลากหลายกว่า—อุตสาหกรรมก่อสร้าง เกษตรแปรรูป และบริการขนาดใหญ่ต้องการแรงงานจำนวนมากทำให้คนกัมพูชาหางานได้หลากหลายและต่อรองค่าแรงได้สูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจกัมพูชายังพึ่งพาการส่งออกเสื้อผ้าและการท่องเที่ยวเป็นหลัก การจ้างงานกระจุกตัวและอำนาจต่อรองต่ำกว่า
แม้รายได้เฉลี่ยต่อหัวกับค่าแรงขั้นต่ำไทยจะนำหน้า แต่กัมพูชาก็เติบโตเร็วราว 5–6% ต่อปีต่อเนื่องมานาน หากรักษาความต่อเนื่องได้ ช่องว่างระหว่างสองประเทศจะค่อย ๆ แคบลง ทั้งยังมีเมกะโปรเจ็กต์เชื่อมท่าเรือสีหนุวิลล์และการลงทุนจีนในนิคมอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเพิ่มอัตราจ้างงานและค่าแรงภายใน 5–7 ปีข้างหน้า
ในระยะสั้น ไทยยังเป็นปลายทางยอดนิยมของแรงงานกัมพูชาเพราะ “ค่าจ้างสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย” สูงกว่า แต่ในระยะยาว หากไทยไม่เร่งอัพเกรดผลิตภาพ และกัมพูชาพัฒนาฝีมือแรงงานกับอุตสาหกรรมให้หลากหลายกว่าเดิม ช่องว่างนี้อาจถูกไล่ทันเร็วกว่าที่คิด สิ่งที่ต้องจับตา คือการเคลื่อนย้ายทุนและเทคโนโลยี—ว่าปลายทางใหม่ของโรงงานที่ต้องการแรงงานต้นทุนต่ำจะยังอยู่ฝั่งไทยต่อไป หรือข้ามกลับไปหาฝั่งที่เสนอมาตรการจูงใจทางภาษีที่เข้มข้นกว่าอย่างกัมพูชา
สุดท้าย เกมค่าแรงขั้นต่ำจึงไม่ได้จบที่ใครจ่ายแพงกว่า หากแต่เป็น ใครสร้างมูลค่าต่อหัวได้ดีกว่า เพราะโลกการผลิตยุคใหม่ไม่ได้แข่งขันด้วยต้นทุนแรงงานอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- บอร์ดไตรภาคี ไม่เคาะค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เลื่อนพิจารณา 23 ธ.ค. นี้แทน
- บราซิลฟ้องบริษัท BYD ของจีน ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชน-ใช้แรงงานคล้ายทาส
- เปิดเงินเดือน ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา บุตรชายสมเด็จฮุนเซ็น ดีกรีจบ ดร.อังกฤษ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: