สื่อเขมร โบ้ยไทย ปัญหาชายแดน เพราะไม่ยอมรับแผนที่ ใช้เป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยม

สื่อเขมร ตีบทความ นักวิชาการกัมพูชา อ้างข้อพิพาทชายแดน เกิดจากไทยใช้แผนที่ฝ่ายเดียว และใช้ประเด็นพรมแดนเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม เรียกร้องไทยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศและเขตแดนยุคอาณานิคม ชี้เป็นทางออกเดียวที่จะยุติวงจรความขัดแย้ง
วันที่ 8 มิถุนายน 2568 – สื่อกัมพูชา phnompenhpost นำเสนอบทความความคิกเห็นเรื่อง “เหตุใดสองอาณาจักรพุทธที่มีพรมแดนติดกัน จึงไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้?” กิน เภีย เป็นผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งราชบัณฑิตยสภากัมพูชา เขียนจากมุมมองของฝ่ายกัมพูชา ว่าแม้ไทยและกัมพูชา
แม้จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ความตึงเครียดก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จากการอ้างสิทธิ์ในมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนสถาน รวมถึงปราสาทต่างๆ ข้อพิพาทเรื่องดินแดนและการปักปันเขตแดนเป็นหนึ่งในประเด็นที่ละเอียดอ่อน ปลุกปั่นความรู้สึกได้ง่ายที่สุด มักเป็นเชื้อไฟให้เกิดกระแสชาตินิยมสุดโต่งในไทยมาหลายชั่วอายุคน
พื้นที่ที่มีข้อพิพาทรุนแรงที่สุดคือปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ ซึ่งกัมพูชาได้รับชัยชนะทางกฎหมายในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ทั้งในปี 1962 และ 2013 ส่วนพื้นที่พิพาทอื่นๆ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊จ ปราสาทตากระเบย และมอมเบย
เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่มอมเบย จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ลึกเข้ามาในดินแดนกัมพูชา ฝ่ายไทยเป็นผู้ริเริ่มเหตุการณ์ ทหารไทยยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย เหตุการณ์นี้ได้สร้างความปั่นป่วนในสังคมไทย โดยมีการกล่าวอ้างว่ากองกำลังกัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทย และยังทำให้กลุ่มทหารไทยซึ่งเป็นที่รู้จักจากการทำรัฐประหาร มีความกล้าที่จะผลักดันให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบกับกัมพูชา
ในปี 2000 กัมพูชาและไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างสองประเทศ ภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ขึ้น การสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกได้ดำเนินการร่วมกันตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904, สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 23 มีนาคม 1907, พิธีสารว่าด้วยการกำหนดเส้นเขตแดนซึ่งผนวกท้ายสนธิสัญญาปี 1907 และแผนที่อันเป็นผลมาจากการทำงานของคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างสยามและฝรั่งเศสด้วย
อย่างไรก็ตาม บันทึกความเข้าใจปี 2000 ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การกล่าวหากันบ่อยครั้งและการปะทะกันด้วยอาวุธหลายครั้ง สาเหตุรากเหง้าของความขัดแย้งคือการใช้แผนที่คนละฉบับ กัมพูชาและศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยึดถือแผนที่ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ในทางตรงกันข้าม ไทยได้จัดทำและใช้แผนที่ของตนเองฝ่ายเดียวเพื่ออ้างสิทธิ์ในดินแดน
ไทยมักใช้ประเด็นพรมแดนกับกัมพูชาเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ในช่วงที่การเมืองในประเทศขาดเสถียรภาพ หรือเมื่อกองทัพต้องการอ้างหรือกระชับอำนาจผ่านการรัฐประหาร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นในปี 2008 เมื่อกองกำลังไทยบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาและบริเวณโดยรอบ แม้ว่าศาล ICJ จะมีคำตัดสินในปี 1962 ว่าปราสาทแห่งนี้เป็นของกัมพูชา ความขัดแย้งด้วยอาวุธดำเนินอยู่หลายปี ล่าสุด การปะทะตามแนวชายแดนที่มอมเบยในกัมพูชาเมื่อเดือนที่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการยั่วยุโดยทหารไทย ซึ่งอาจมีเป้าหมายเพื่อสร้างความชอบธรรมหรือเอื้อให้เกิดการรัฐประหารครั้งใหม่
เมื่อบันทึกความเข้าใจปี 2000 ถึงขีดจำกัดในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อมานาน รัฐบาลกัมพูชาจึงตัดสินใจเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่จะนำข้อพิพาทใน 4 พื้นที่ละเอียดอ่อน ได้แก่ มอมเบย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊จ และปราสาทตากระเบย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
พื้นที่เหล่านี้ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้มานานหลายปีและยังคงมีความเสี่ยงที่จะทวีความตึงเครียดหากไม่ได้รับการแก้ไข มติครั้งนี้ได้รับการรับรองอย่างเป็นเอกฉันท์จากการประชุมร่วมครั้งแรกของรัฐสภาและวุฒิสภากัมพูชา
ในฐานะประเทศที่ใหญ่กว่าทั้งในด้านเศรษฐกิจและศักยภาพทางทหาร ไทยนิยมการเจรจาทวิภาคีมาโดยตลอด ซึ่งเป็นแนวทางที่มักจะเอื้อต่อผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของตน ในทางตรงกันข้าม กัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะใช้กลไกที่มีอยู่ทั้งหมดที่เห็นว่าจำเป็น โดยเฉพาะการหันหน้าเข้าสู่ศาล ICJ เมื่อความพยายามในระดับทวิภาคีหมดสิ้นลง
ไทยได้ใช้แรงกดดันทั้งทางการทหารและเศรษฐกิจต่อกัมพูชา รวมถึงการส่งกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมตามแนวชายแดน นอกจากนี้ ในวันที่ 7 มิถุนายน ไทยยังได้ปิดจุดผ่านแดนหลายแห่งฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางเศรษฐกิจอยู่เสมอ เนื่องจากไทยมีสถานะทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่า
การปิดพรมแดนฝ่ายเดียวเช่นนี้ ซึ่งถูกนำมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นแนวทางที่มุ่งเอาชนะแต่เพียงฝ่ายเดียว (zero-sum) ซึ่งนำความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมาสู่ทั้งสองประเทศ และบั่นทอนความพยายามสร้างเสถียรภาพและความร่วมมือในระยะยาว
หากไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างสันติจริง ก็ควรให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการแสวงหากลไกที่เป็นกลางและอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ เช่น การนำเรื่องขึ้นสู่ศาล ICJ เมื่อการเจรจาทวิภาคีสิ้นสุดลงแล้ว ในฐานะประเทศที่เล็กกว่าทั้งในด้านภูมิศาสตร์ ประชากร เศรษฐกิจ และกำลังทหาร กัมพูชาไม่มีทั้งศักยภาพหรือเจตนาที่จะยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งหรือรุกรานเพื่อนบ้านใดๆ ราชอาณาจักรต้องการการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ความร่วมมือในระดับภูมิภาค และความสัมพันธ์ฉันมิตร ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาชาติและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
ในอดีต กัมพูชาเคยเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ไทยจะก่อตั้งเป็นรัฐ ดินแดนส่วนใหญ่ของไทยในปัจจุบันเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอมโบราณ ไทยเริ่มประกาศอิสรภาพจากอิทธิพลของขอมในศตวรรษที่ 13 และได้พัฒนาจนกลายเป็นรัฐที่ชัดเจนในเวลาต่อมา
ดังนั้น ประชาชนชาวกัมพูชาและไทยควรตระหนักว่าชาติของเราทั้งสองมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน พร้อมด้วยความผูกพันทางวัฒนธรรมและประเพณีที่ลึกซึ้ง ในขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเขตแดนของเราเป็นมรดกตกทอดมาจากยุคอาณานิคม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองและการได้รับเอกราช ทั้งสองประเทศต้องยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ uti possidetis juris ซึ่งยืนยันว่าพรมแดนในยุคอาณานิคมตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสจะต้องได้รับการเคารพ การไม่ปฏิบัติตามจะเสี่ยงต่อการทำให้วงจรความขัดแย้งดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
ถึงกองทัพ ผู้นำทางการเมือง และประชาชนชาวไทย: ประวัติศาสตร์ไม่ควรถูกบิดเบือนเพื่อคนรุ่นหลัง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์และให้การศึกษาแก่สาธารณชนเพื่อให้เคารพอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ศักดิ์ศรี และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน สองราชอาณาจักรพุทธของเราจะสามารถอยู่เคียงข้างกันอย่างสันติสุขได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อมีความเคารพซึ่งกันและกันและความมุ่งมั่นต่อวัฒนธรรมแห่งสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองเท่านั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ฮุน เซน” โพสต์ถึงไทย ต้องรับผิดชอบ สั่งปิดด่านไทย-กัมพูชา ชี้กระทบคนไทยเอง
- ด่วนที่สุด ทัพภาคที่ 2 มอบอำนาจ เปิด-ปิด 4 ด่านถาวร ชายแดนกัมพูชา
- สื่อเขมรโวยใหญ่ ไทยปิดพรมแดนกัมพูชา ทำไมไม่ถามความเห็น
ติดตาม The Thaiger บน Google News: