ข่าว

ย้อนคดี ‘ปราสาทพระวิหาร’ คำตัดสินศาลโลก แผนที่ในกระดาษ ทำไทยแพ้กัมพูชา

ย้อนคดี ‘ปราสาทพระวิหาร’ คำตัดสินศาลโลก แผนที่ในกระดาษ ทำไทยแพ้กัมพูชา เสียปราสาท

ย้อนไปในปลายศตวรรษที่ 19 กว่า 120 ปีก่อน บนเวทีภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “สยาม” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยืนอยู่กลางแรงบีบคั้นจากสองจักรวรรดิ อังกฤษทางพม่าและมลายู กับฝรั่งเศสทางอินโดจีน ในช่วงเวลาที่การล่าอาณานิคมกำลังพุ่งถึงขีดสุด รัฐไทยเลือกใช้ยุทธศาสตร์การเจรจาเสียสละบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชส่วนใหญ่ ส่งผลให้เกิดสนธิสัญญาปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศสเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 1904 ถือหลักง่าย ๆ ว่า “สันปันน้ำเทือกเขาดงรัก” คือเส้นแบ่งแดนบนแผ่นดินสูงระหว่างสองฝ่าย แล้วตั้งคณะกรรมาธิการร่วมขึ้นไปเดินป่าตีเสาเขตจริง

แผนที่ภาคผนวกเจ้าปัญหา ที่ไทยนิ่งเฉย จนเสียตัวปราสาท

ทีมสำรวจเริ่มงานในปี 1905 มีทั้งฝ่ายไทยกับฝรั่งเศส เดินแบกกล้องวัดระดับ สายวัด และกล่องผ้าใบปีนไต่แนวสันเขาหลายร้อยกิโลเมตรตลอดฤดูฝนจนฤดูร้อน ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งคือ “ปราสาทพระวิหาร” นั้นตั้งโอบอยู่บนชะง่อนหน้าผา ไม่ได้อยู่บนสันแนวน้ำไหลเช่นที่สนธิสัญญากำหนด การลากเส้นแบ่งแดนจึงกลายเป็นโจทย์ทางเทคนิคที่ชวนปวดหัว

เมื่อคณะกลับถึงฮานอยในปี 1907 ฝ่ายสำรวจฝรั่งเศสได้รับหน้าที่ร่างแผนที่รวมชุดใหญ่ มีแผ่นหนึ่ง—ซุกอยู่ใน “ภาคผนวกที่ 1” หรือ Annex I—ได้ขีดเส้นสีชมพูเล็มลงใต้สันปันน้ำครอบเอาปราสาททั้งองค์ไปไว้ฝั่งอินโดจีน

สำเนาแผนที่ดังกล่าวเดินทางถึงกรุงเทพฯ ถูกบรรจุในหีบเอกสารราชการ แต่ปรากฏว่าไม่มีบันทึกใดแสดงว่าเจ้ากระทรวงใด ๆ คัดค้านอย่างเป็นทางการ

นักประวัติศาสตร์หลายคนตั้งสมมติฐานว่าระบบราชการไทยยุคนั้นยังขาดผู้เชี่ยวชาญแผนที่สากล อีกทั้งรัฐบาลเองก็ไม่อยากเปิดศึกทูตใหม่กับฝรั่งเศสหลังเพิ่งผ่านวิกฤต ร.ศ.112 จึงปล่อยให้ “เส้นหมึกสีชมพู” อยู่เงียบ ๆ ในแฟ้มเอกสาร รัฐบาลทั้งสองประเทศกลับนำแผนที่ชุดเดียวกันนี้ไปใช้เทียบหลักเขตในงานราชการครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครโต้แย้ง

ปี 1930 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จเยือนปราสาทพระวิหาร โดยได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส 1954 ไทยส่งทหาร ตำรวจ หรือผู้ดูแล เข้าไปในบริเวณปราสาทพระวิหาร ภายหลังกัมพูชาได้รับเอกราชและฝรั่งเศสถอนทหารออกจากอินโดจีน.

1959 กัมพูชายื่นฟ้องไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้วินิจฉัยอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร.จึงส่งทหารขึ้นสยายธงไตรรงค์บนยอดปราสาทในปี 1954 เป็นครั้งแรก ทว่ากัมพูชาซึ่งเพิ่งประกาศเอกราชได้เพียง 1 ปี ไม่เห็นด้วย เจ้าชายสีหนุตัดสินใจยื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮกในปี 1959 เรียกร้องสิทธิในปราสาทตาม “แผนที่ภาคผนวกที่ 1” ที่ไทยเคยยอมรับโดยพฤตินัย

การนิ่งเฉยเมื่อปี 1907 จึงย้อนกลับมามีอานุภาพอีกครั้งบนโต๊ะพิจารณาคดี ท้ายที่สุด ในวันที่ 15 มิถุนายน 1962 ศาลโลกอ่านคำพิพากษา—ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาโดยเด็ดขาด

คำตัดสินประวัติศาสตร์ 15 มิถุนายน 1962 ยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา

จดหมายเหตุวันที่ 15 มิถุนายน 1962 บันทึกไว้ว่า ผู้พิพากษาแห่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ลงมติ 9 ต่อ 3 เสียง ยก ปราสาทพระวิหาร ทั้งองค์และศิลปวัตถุทุกชิ้นให้เป็นอธิปไตยของกัมพูชา พร้อมสั่งให้ไทยถอนทหารและเจ้าหน้าที่ออกจากบริเวณ ตลอดจนส่งคืนโบราณวัตถุที่เคยขนลงมาจากยอดผา

คำวินิจฉัยยาวกว่า 100 หน้าไม่เพียงตัดสินว่าใครถือสิทธิในโบราณสถาน หากยังนิยามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเรื่อง “การยอมรับโดยพฤติกรรม” เอาไว้อย่างชัดเจน

ศาลอธิบายว่า แม้แผนที่ Annex I ฉบับปี 1907 จะขัดกับหลักสันปันน้ำในสนธิสัญญา 1904 จริง แต่ตลอดครึ่งศตวรรษ สยาม—ต่อมาคือไทย—ไม่ได้คัดค้านอย่างเป็นทางการ แผนที่ชุดนี้ถูกนำไปอ้างอิงในหน่วยงานราชการไทยอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยยังร่วมใช้แผนที่เดียวกันในการประชุมเขตแดนหลายครั้งโดยไม่ตีกรรเชียง นิ่งเฉยเช่นนี้ ศาลจึงตีความว่าเป็น “ความยินยอมโดยปริยาย” กล่าวคือ ไทยได้ยอมรับเส้นสีชมพูที่ลากลงใต้สันเขาดงรัก ครอบเอาปราสาทไว้ฝั่งอินโดจีนเรียบร้อยแล้ว

ภาษากฎหมายเรียกพฤติกรรมนั้นว่า acquiescence—เมื่อรัฐรู้อยู่ว่าสิทธิของตนอาจถูกกระทบ แต่กลับปล่อยให้เลยไปโดยไม่ประท้วงในกรอบเวลาสมควร สิทธินั้นก็เสื่อมลงไปเอง

ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 3 ท่าน คัดค้านว่า การนิ่งเงียบไม่ควรถูกตีความเป็นการสละอธิปไตย เพราะไทยไม่เคยให้สัตยาบันแผนที่ หลักสันปันน้ำควรมีน้ำหนักเหนือกว่าเอกสารระดับ “ภาคผนวก” เช่น Annex I แต่เสียงข้างน้อยไม่อาจเปลี่ยนผลตัดสินได้

หลังคำพิพากษาประกาศ ไทยจำต้องปลดธงไตรรงค์ลงจากยอดผา ส่งคืนหัวสิงห์ แกนเสาหิน และพระพุทธรูปสำริดที่เคยเคลื่อนย้ายลงมาจากปราสาท ส่วนกัมพูชาจัดพิธีเชิดชูชัยชนะอย่างเอิกเกริก เจ้าชายสีหนุถึงกับบินเฮลิคอปเตอร์ไปปักธงใหม่ให้ประจักษ์กลางเวหา

ปฏิกิริยาคนไทย หลังเสียปราสาทพระวิหาร

หลังคำพิพากษาศาลโลกเพียงไม่กี่ชั่วโมง กรุงเทพฯ ก็ปั่นป่วน ผู้คนหลากวัยหลากอาชีพแห่กันมาหน้าทำเนียบรัฐบาล หน้าศาลากลางจังหวัด หลายคนนุ่งชุดดำ เขียนป้ายผ้า “เอาปราสาทคืน” “ไทยไม่แพ้” เสียงโห่ร้อง เพลงปลุกใจดังก้องกลางแดดจ้า มวลชนเพรียกหามาตรการตอบโต้ฝรั่งเศสและกัมพูชา

บางสำนักพิมพ์พาดหัวบอกให้รัฐบาล “ยืนหยัดบนสันปันน้ำ” ขณะที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นเลือกใช้ท่าที “ถอนรุก อัดรับ” คือยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาลเพื่อหลีกเลี่ยงชนวนสงคราม

ข้ามพรมแดนไป พนมเปญกลับคลาคล่ำด้วยเสียงฆ้องกลอง พลุเฉลิมฉลอง ประกาศชัยชนะ “เยียะชก ปแรรอ วิหัร” ของเขมร เจ้าชายสมเด็จสีหนุ แต่งเครื่องแบบผู้บัญชาการสูงสุด นั่งเฮลิคอปเตอร์ Mi-4 สีเทาเงินขึ้นไปยังผา ท่ามกลางสายลมแรงบนยอดดงรัก ทรงปักธงสามสีแดง-น้ำเงิน-แดงของกัมพูชาลงบนลานปราสาทด้วยพระองค์เอง จากนั้นถวายบังคมรูปเคารพพระศิวะและพระวิษณุ สัญญาว่าจะยกวัดเขาพระวิหารขึ้นเป็นมรดกแห่งความภาคภูมิใจของชนชาติ

ไม่กี่วันให้หลัง พระนคร (ชื่อเก่าพนมเปญ) จัดพาเหรดกลางคืน รถแห่รูปจำลองวิหารแล่นผ่านถนนโนโรดม พลเมืองโบกธง โห่ร้อง “เชียะ มเว็ง กัมพูเจีย!” (ไชโย ชัยชนะของกัมพูชา) ดังก้องเหนือแม่น้ำจตุรมุข

กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

ปลายทศวรรษ 2540 กัมพูชาเริ่มผลักดันอย่างจริงจังให้ ปราสาทพระวิหาร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก ภายใต้อนุสัญญายูเนสโก พ.ศ. 2515 กระบวนการที่ดูเหมือนเป็นงานอนุรักษ์วัฒนธรรมจึงค่อย ๆ แปรรูปเป็นประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรง เมื่ออีกฟากพรมแดน—ประเทศไทย—เห็นว่าเส้นขอบเขตในเอกสารสมัครอาจล้ำลึกเข้ามาใน “พื้นที่ทับซ้อน” ซึ่งยังไม่ได้ปักปันอย่างสิ้นเชิง

ใบสมัครแรก 8 มีนาคม 2005 กัมพูชาเสนอชื่อปราสาทพระวิหารต่อศูนย์มรดกโลก (WHC) อย่างเป็นทางการ
30 มกราคม 2006 WHC กรุงปารีสตอบกลับ ให้จัดทำแผนที่เขตกันชนใหม่ และ “แนะนำให้ร่วมมือกับฝ่ายไทย”

กัมพูชาแก้เอกสารก่อนยื่นซ้ำ ในปี 2007 ขณะที่กระทรวงต่างประเทศไทยส่ง บันทึกช่วยจำ ถึงทูตกัมพูชา เสนอโมเดลมรดกโลกข้ามพรมแดน คณะกรรมการมรดกโลก (คกก.) มีมติ เลื่อนการพิจารณา พร้อมขอให้สองประเทศหารือใกล้ชิดยิ่งขึ้น

8 กรกฎาคม 2008 การประชุมคกก.มรดกโลกครั้งที่ 32 ที่เมืองควังดู เกาหลีใต้ ลงมติ ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท ตามข้อเสนอแก้ไขของกัมพูชา โดยอาศัยเกณฑ์Outstanding Universal Value (OUV) ข้อ (i) เรื่อง “ผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมขอม”

ฝ่ายไทยรับรู้แต่ไม่ลงนามแผนที่แนบท้าย 1:50,000 เมื่อเอกสารกลับถึงบ้าน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำประเด็นนี้โจมตีนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ จนท้ายที่สุดเขาต้องลาออก และวิกฤตการเมืองในประเทศยิ่งปะทุ

ความตึงเครียดชายแดนเพิ่มขึ้นเป็นระยะ จนในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ทหารไทย–กัมพูชาใช้อาวุธหนักแลกกันหลายรอบ ต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่าย “ยิงก่อน” ที่ดงรัก ในวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2011

5 กุมภาพันธ์ กัมพูชา ทำหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ อ้างการกระทำของไทย “ละเมิดข้อตกลงสันติภาพปารีส 1991, กฎบัตรยูเอ็น และคำพิพากษาศาลโลก 1962”

กัมพูชายื่นคำร้อง ขอตีความคำพิพากษาปี 1962 ชี้ว่าพื้นที่รอบปราสาทที่ไทยยังคงวางกำลังทหาร ถูกตีความเป็นของกัมพูชาด้วยแต่แรก ในวันเดียวกัน ยื่นคำขอ “มาตรการชั่วคราว” เพื่อคุ้มครองสิทธิ

18 กรกฎาคม 2011 ศาลโลกออกคำสั่งชั่วคราว ให้ทั้งสองฝ่าย ถอนกำลังทหาร ออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว
ให้จัดตั้ง สังเกตการณ์อาเซียน เข้าไปประจำ เรียกร้องให้ยุติการใช้กำลังและร่วมมือในกรอบทวิภาคี

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx