ข่าวการเมือง

อ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้จำนำข่้าว หมื่นล้าน เซ่นเลินเล่อจนเกิดทุจริตจีทูจี

เปิดคำพิพากษา ศาลสั่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหาย 1 หมื่นล้าน คดีจำนำข้าว เหตุปล่อยให่เกิดการทุจริตทำรัฐเสียหาย

วันนี้ (22 พ.ค.) สำนักงานศาลปกครอง เผยแพร่สรุปคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษา คดีฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโครงการรับจํานําข้าวเปลือกและเพิกถอนคําสั่งยึด อายัดทรัพย์สิน รวมทั้งคําสั่งขายทอดตลาดและคําสั่งปฏิเสธคําขอกันส่วนในฐานะเจ้าของร่วม

กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก (นายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีนอกสมรส) รวม 2 คน (ผู้ฟ้องคดี) กับนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 9 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคดีพิพาทที่เกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย กรณีการเรียกความเสียหายทางละเมิด คดีโครงการรับจำนำข้าว มูลค่ารวมกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท

ศาลปกครองสูงสุด ได้อ่านผลแห่งคําพิพากษาในคดีหมายเลขดําที่ อผ. 163 – 166/2564 หมายเลขแดงที่ อผ. 160 – 163/2568 ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ 1 และนายอนุสรณ์ อมรฉัตร ที่ 2 ผู้ฟ้องคดี กับนายกรัฐมนตรีที่ 1 รมว.คลัง ที่ 2 รมช.คลัง ที่ 3 ปลัดกระทรวงการคลัง ที่ 4 สํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 5 กระทรวงการคลัง ที่ 6 กรมบังคับคดี ที่ 7 อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ 8 และเจ้าพนักงานบังคับคดีสํานักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ที่ 9 ผู้ถูกฟ้องคดี

ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้เพิกถอน คําสั่งกระทรวงการคลังที่ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจํานวน 35,717,273,028.23 บาท

กรณีโครงการรับจํานําข้าวเปลือก กับชดใช้ค่าเสียหาย และเพิกถอนคําสั่งยึดและอายัดทรัพย์สิน รวมทั้ง คําสั่งการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 ฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งปฏิเสธคําขอ กันส่วนในฐานะเจ้าของรวม และให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิกันส่วนในฐานะเจ้าของรวม

อ่านคำพิพากษา ยิ่งลักษณ์ คดีจำนำข้าว
แฟ้มภาพ

โดยศาลปกครองกลาง มีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งกระทรวงการคลังที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพิกถอนคําสั่ง ประกาศ การดําเนินการใดๆ ในการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อขายทอดตลาด และเพิกถอนคําสั่งของกระทรวงการคลัง เรื่อง คําร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวม ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าอุทธรณ์

ศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยว่า การดําเนินโครงการรับจํานําข้าวเปลือกแยกพฤติการณ์การกระทําของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (ประธาน กขช.) ออกเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนที่หนึ่ง การดําเนินการในส่วนของนโยบายการรับจํานําข้าวเปลือกที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งไม่มีส่วนที่ต้องรับผิดทางละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง)

ส่วนที่สอง การดําเนินการในการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายรับจํานําข้าวเปลือก ซึ่งเป็นการกระทําทางปกครองแยกออกจากการดําเนินการในส่วนนโยบาย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ย่อมอยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

ซึ่งศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า ครม.มีมติอนุมัติให้ดําเนินโครงการรับจํานําข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 นาปรังปีการผลิต 2555 นาปี ปีการผลิต 2555/56 และนาปี ปีการผลิต 2556/57 โดยมีขั้นตอนการดําเนินการเป็น 4 ขั้นตอน คือ (1) การตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ (2) การนําข้าวเปลือกไปจํานําและเก็บรักษาข้าวเปลือก (3) การสีแปรสภาพข้าวเปลือกและเก็บรักษาข้าวสาร และ (4) การระบายข้าว

ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ดํารงตําแหน่งนายกฯ ในขณะนั้น มีอํานาจหน้าที่ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และยังเป็นประธาน กขช.ซึ่งมีอํานาจหน้าที่ติดตาม กํากับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ และโครงการที่อนุมัติ

ในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าว การที่สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบการดําเนินการตามโครงการรับจํานําข้าวเปลือกในฤดูกาลผลิตที่ผ่านมา ต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 สอดคล้องต้องกัน

โดยสรุปว่า โครงการรับจํานําข้าวเปลือกมีปัญหาเกิดขึ้นก่อให้เกิดความสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเป็นจํานวนมาก มีการทุจริตเชิงนโยบายเกิดขึ้นในหลายขั้นตอน ขอให้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามข้อเสนอแนะและข้อสังเกตต่อไปด้วย

แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 มิได้ดําเนินการใดๆ ทั้งที่ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นเพื่อทําหน้าที่ดําเนินโครงการรับจํานําข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว และมิได้ติดตามให้คณะอนุกรรมการรายงานผลการดําเนินการให้ทราบว่า มีปัญหาในการดําเนินโครงการรับจํานําข้าวเปลือกตามที่ได้รับรายงานหรือไม่

ภาพจาก Yingluck Shinawatra

นอกจากนี้ ระหว่างการดําเนินการโครงการรับจํานําข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555 สส.ได้ตั้งกระทู้ถามผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2555และมีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกฯและคณะเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2555 เรื่อง ปัญหาโครงการรับจํานําเกี่ยวกับกรณีเกษตรกรถูกโกงความชื้น

การที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ดํารงตําแหน่งนายกฯ และเป็นประธาน กขช. ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินการตามนโยบายรับจํานําข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาลว่า มีปัญหาการทุจริตทุกขั้นตอนแต่มิได้สั่งการให้คณะอนุกรรมการที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 แต่งตั้งขึ้น เพื่อให้ทําหน้าที่กํากับดูแลและควบคุมตรวจสอบการดําเนินโครงการรับจํานําข้าวเปลือกดําเนินการตรวจสอบการดําเนินการว่ามีปัญหาการทุจริตหรือไม่ และรายงานให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 สั่งการต่อไป

จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่คํานึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอขององค์กรที่ทําหน้าที่ตรวจสอบการดําเนินการตามโครงการต่างๆ ของรัฐ แต่กลับปล่อยให้การดําเนินโครงการรับจํานําข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 ยังคงดําเนินการต่อไป

จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ปล่อยปละละเลยไม่ใช้อํานาจหน้าที่ของตนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการทุจริต จึงเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการกระทําการทุจริตได้โดยง่าย อันถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีกระทําละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ให้ได้รับความเสียหายตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

กรณีมีปัญหาจะต้องพิจารณาต่อไปว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 (กระทรวงการคลัง) เพียงใดนั้น เห็นว่า ความเสียหายเฉพาะในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ทราบปัญหาการทุจริตแล้ว แต่ไม่ได้มีการติดตามกํากับดูแล โดยเฉพาะในการติดตามดูแลหรือตรวจสอบการทุจริตตามสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะประธาน กขช. เข้าร่วมประชุม กขช. แค่เพียงครั้งเดียว จากพฤติการณ์ดังกล่าว

จึงเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกฯ และในฐานะประธาน กขช. ซึ่งมีหน้าที่ติดตามกํากับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานผลการดําเนินงานตรวจสอบเพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และกําหนดมาตรการป้องกันเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย

ซึ่งโดยวิสัยของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่า ควรที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงและรายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏตามหนังสือทักท้วงของหน่วยตรวจสอบว่า มีความเสียหายเกิดขึ้นตามที่ได้รับรายงานหรือไม่ หรือติดตามดูแลการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) อย่างใส่ใจ

แต่ผู้ฟ้องคดีที่ 1กลับเพิกเฉยหรือละเลย จนเกิดการทุจริตขึ้นในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ส่งผลให้มีปัญหาการระบายข้าวไม่ทันต้องเก็บรักษาข้าวในคลังเป็นเวลานานจนข้าวเสื่อมคุณภาพและสูญเสีย อีกทั้งไม่คํานึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอของหน่วยงานซึ่งเป็นองค์กรที่ทําหน้าที่ตรวจสอบการดําเนินการตามโครงการต่างๆ ของรัฐ รวมทั้งการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด

ภาพจาก Yingluck Shinawatra

พฤติการณ์แห่งการกระทําของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เกิดจากการแอบอ้างทําสัญญาซื้อขายข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย จํานวน 4 ฉบับ มีความเสียหายเป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท

เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้รับทราบปัญหากรณีการทุจริตในการดําเนินงานโครงการรับจํานําข้าวเปลือก กลับไม่ดําเนินการตรวจสอบ ติดตาม หรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดําเนินงานตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาที่หน่วยตรวจสอบแจ้งให้ทราบ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพียงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบและดําเนินการต่อไป แล้วรอรายงานจากเจ้าหน้าที่ดังกล่าว

เมื่อได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่าไม่มีการทุจริต ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ก็เชื่อรายงานดังกล่าว ทั้งที่แตกต่างจากผลการตรวจสอบของหน่วยงานตรวจสอบอย่างมีนัยสําคัญ เมื่อความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เกิดจากการกระทําละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคน และเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น

เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะนายกฯ และประธาน กขช. ซึ่งมีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมตรวจสอบกํากับดูแลการปฏิบัติตามนโยบายการรับจํานําข้าวเปลือกที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ทั้งมีอํานาจตามกฎหมายในการระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่มิได้ดําเนินการดังกล่าวอันเนื่องมาจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ

จึงสมควรกําหนดสัดส่วนความรับผิดของผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 8 วรรคสี่ แห่งพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยให้รับผิดในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายจากการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว จํานวน 20,057,723,761.66 บาท คิดเป็นเงินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดจํานวน 10,028,861,880.83 บาท

ภาพจาก Yingluck Shinawatra

ดังนั้น คําสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่13 ต.ค.2559 เฉพาะส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจํานวน 10,028,861,880.83 บาท จึงเป็นคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อคําสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 เฉพาะส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจํานวน 10,028,861,880.83 บาท เป็นคําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดําเนินการขายทอดตลาดในส่วนที่เกินกว่าจํานวน 10,028,861,880.83 บาท อันเป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา 57 แห่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่ใช้บังคับในขณะนั้น จึงเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

และเมื่อทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้มาภายหลังจากการที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยาโดยมีเจตนาเปิดเผยตั้งแต่เดือนพ.ย.2538 อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้งสองยังมีบุตรด้วยกัน พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองอยู่อาศัยร่วมกันตลอดมาและมีเจตนาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกัน

ผู้ฟ้องคดีที่ 2 จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่มีส่วนในทรัพย์สินเท่ากันกับผู้ฟ้องคดีที่ 1 ตามมาตรา 1357 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้จะไม่ปรากฏชื่อผู้ฟ้องคดีที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังกล่าวก็ตาม

ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นผู้มีสิทธิขอกันส่วนในทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีสํานักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9) การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 โดยปลัดกระทรวงการคลัง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ปฏิเสธการขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดมาจากผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีที่ 2

ภาพจาก Yingluck Shinawatra

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็น

1.ให้เพิกถอนคําสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจํานวน 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคําสั่งเป็นต้นไป

2.ให้เพิกถอนคําสั่ง ประกาศ และการดําเนินการใดๆ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9 ที่มีคําสั่ง ประกาศหรือการดําเนินการใด ๆ ในการยึด อายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 เพื่อดําเนินการขายทอดตลาด อันเป็นการบังคับตามมาตรการทางปกครอง ตามมาตรา 57 แห่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่สืบเนื่องจากคําสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะในส่วนที่เกินกว่า 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคําสั่งเป็นต้นไป

3.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 ดําเนินการสั่งการเกี่ยวกับการขอกันส่วนทรัพย์สินที่ถูกยึดเพื่อนํามาขายทอดตลาดตามสิทธิของผู้ฟ้องคดีที่ 2 จํานวน 37 รายการ และแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7จัดทําบัญชีรับ-จ่าย เพื่อกันส่วนให้ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะเจ้าของรวม รวมทั้งแจ้งผลการดําเนินการดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ทราบ ทั้งนี้ ให้ดําเนินการภายใน 60 วัน นับจากวันที่ศาลมีคําพิพากษา

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 โหวต
Article Rating
สมัครรับข้อมูล
แจ้งเตือนเกี่ยวกับ
0 Comments
เก่าแก่ที่สุด
ใหม่ล่าสุด ถูกโหวตมากที่สุด
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

yo

นักเขียนข่าว บทความทั่วไปประเภทไลฟ์สไตล์ สำเร็จการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาปรัชญา มศก. ติดต่อได้ที่อีเมล yo@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
เราอยากทราบความคิดเห็นของคุณ โปรดแสดงความคิดเห็นx