สั่งยื้อชีวิต พยาบาลตั้งครรภ์ สมองตายกว่า 90 วัน เหตุกฎหมายห้ามทำแท้ง

สลด! “เอเดรียนา สมิธ” พยาบาลสาวชาวจอร์เจีย สหรัฐฯ สมองตายกว่า 90 วัน แต่กฎหมายห้ามทำแท้งของรัฐ สั่งแพทย์ยื้อชีวิตต่อลมหายใจให้ทารกในครรภ์ ครอบครัวใจสลาย ชี้เป็นการทรมานซ้ำสอง ทารกเองเสี่ยงพิการ ซ้ำเติมด้วยหนี้ค่ารักษาพุ่งไม่หยุด
กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างความสะเทือนใจและคำถามถึงมิติทางกฎหมายและมนุษยธรรมอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา กรณีของ เอเดรียนา สมิธ พยาบาลสาววัย 30 ปี ในรัฐจอร์เจีย ที่ถูกแพทย์ประกาศภาวะ “สมองตาย” มานานกว่า 90 วัน แต่ร่างกายของเธอยังคงถูกยื้อไว้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์และเครื่องช่วยหายใจ เพียงเพื่อประคองชีวิตทารกในครรภ์ให้มีโอกาสรอดชีวิต ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายห้ามการทำแท้ง (heartbeat law) อันเข้มงวดของรัฐ เหตุการณ์นี้สร้างความปวดร้าวแสนสาหัสแก่ครอบครัวที่ต้องเฝ้ามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นมารดา ที่ชี้ว่านี่คือการทรมานบุตรสาวของตนซ้ำสอง
เรื่องราวอันน่าเศร้านี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เอเดรียนา สมิธ ซึ่งขณะนั้นตั้งครรภ์ได้ 9 สัปดาห์ และเป็นคุณแม่ของลูกชายตัวน้อยอีกหนึ่งคน เริ่มมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงผิดปกติ ด้วยสัญชาตญาณของพยาบาล เอเดรียนารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ทว่าหลังได้รับยาแก้ปวด เธอก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้านโดยไม่มีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
เช้าวันรุ่งขึ้น หายนะก็มาเยือน แฟนหนุ่มของเอเดรียนาตื่นมาพบเธอนอนหายใจหอบเหนื่อยติดขัด มีเสียงครืดคราดในลำคอ เขาจึงรีบโทรแจ้งหน่วยฉุกเฉิน 911 ก่อนที่ร่างของเอเดรียนาจะถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน และถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอมอรี ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเธอเองในเวลาต่อมา ผลการตรวจซีทีสแกนพบก้อนเลือดหลายจุดในสมอง สร้างความตกตะลึงแก่ทุกคน
นางเอพริล นิวเคิร์ก มารดาของเอเดรียนา เปิดเผยกับ “11Alive” สื่อท้องถิ่นแอตแลนตา ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า เธอได้อนุญาตให้แพทย์ทำการผ่าตัดเพื่อลดความดันในสมองของลูกสาว แต่แล้วความหวังก็พังทลาย เมื่อแพทย์แจ้งกลับมาว่าไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้อีกต่อไป เพราะเอเดรียนาอยู่ในภาวะสมองตายแล้ว
“หากโรงพยาบาลแห่งแรกทำการตรวจซีทีสแกน หรือให้นอนดูอาการข้ามคืน พวกเขาอาจจะตรวจพบความผิดปกติได้ทันท่วงที เรื่องเลวร้ายเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้” นางนิวเคิร์กกล่าวด้วยความเสียใจ

ชะตากรรมของเอเดรียนา สมิธ กลายเป็นประเด็นถกเถียงทางกฎหมายอย่างเผ็ดร้อน กฎหมาย “heartbeat law” ของรัฐจอร์เจีย ซึ่งผ่านการอนุมัติเมื่อปี 2019 ห้ามการทำแท้งหลังตรวจพบการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 6 สัปดาห์ แม้จะมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น กรณีการตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน การร่วมประเวณีระหว่างสายเลือด หรือกรณีที่ชีวิตของมารดามีอันตราย
แต่กรณีของเอเดรียนาสร้างพื้นที่สีเทาทางกฎหมาย เนื่องจากเมื่อเธออยู่ในภาวะสมองตาย จึงไม่ถือว่าชีวิตของเธอตกอยู่ในความเสี่ยงอีกต่อไป ทีมแพทย์จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ยื้อชีวิตของเธอไว้เพื่อรักษาชีวิตของทารกในครรภ์จนกว่าจะถึงวัยที่สามารถรอดชีวิตได้นอกมดลูก
“มันคือการทรมานสำหรับฉัน” นางนิวเคิร์กกล่าว “ฉันเห็นลูกสาวหายใจ แต่เธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว และหลานชายของฉัน ฉันก็พาเขามาเยี่ยมแม่ เขาคิดว่าแม่ของเขาแค่หลับไป” ความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่และยายถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน ทีมแพทย์แจ้งกับครอบครัวว่า พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยื้อชีวิตของเอเดรียนาต่อไปอย่างน้อยอีก 11 สัปดาห์ จนกว่าอายุครรภ์จะครบประมาณ 32 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะที่ทารกอาจมีชีวิตรอดหากคลอดก่อนกำหนด
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกไม่หยุดหย่อน เมื่อแพทย์ตรวจพบของเหลวในสมองของทารกในครรภ์ ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กอย่างไรในอนาคต “เขาอาจจะตาบอด อาจจะเดินไม่ได้ หรืออาจจะไม่รอดชีวิตหลังคลอด” นางนิวเคิร์กกล่าว
“ทุกวันที่ผ่านไป มีแต่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ความบอบช้ำทางจิตใจ และคำถามที่ไม่มีคำตอบ การตัดสินใจนี้ควรถูกทิ้งไว้ให้พวกเรา ตอนนี้พวกเราได้แต่สงสัยว่าชีวิตของเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร และพวกเราคือคนที่จะต้องเลี้ยงดูเขา”
นอกเหนือจากความทุกข์ทรมานทางอารมณ์ที่ครอบครัวต้องเผชิญอย่างแสนสาหัส นางนิวเคิร์กยังแสดงความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับภาระค่ารักษาพยาบาลที่พอกพูนขึ้นทุกขณะ ตลอดระยะเวลากว่าสามเดือนที่ลูกสาวของเธอต้องนอนนิ่งอยู่ในโรงพยาบาล โดยที่ครอบครัวไม่มีสิทธิในการตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของเอเดรียนาเลย
“ฉันคิดว่าผู้หญิงทุกคนควรมีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องของตัวเอง และหากไม่เป็นเช่นนั้น คู่ชีวิตหรือพ่อแม่ของพวกเธอก็ควรมีสิทธินั้น” นางนิวเคิร์กกล่าวทิ้งท้าย สะท้อนความอัดอั้นตันใจและความปรารถนาที่จะให้สังคมทบทวนถึงแก่นแท้ของสิทธิมนุษยชนและทางเลือกในการจัดการชีวิต ในยามที่ต้องเผชิญวิกฤตอันแสนเจ็บปวดเช่นนี้ เรื่องราวของเอเดรียนา สมิธ จึงไม่เพียงแต่เป็นโศกนาฏกรรมของครอบครัวหนึ่ง แต่ยังเป็นคำถามสำคัญที่ท้าทายมโนธรรมและหลักการทางกฎหมายของสังคมอเมริกันและทั่วโลก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อิสราเอล ไฟเขียวส่งอาหารเข้าฉนวนกาซา ในปริมาณพื้นฐาน หลังปิดล้อมนาน 10 สัปดาห์
- จิตใจงาม เด็กวัย 13 กระโดดแม่น้ำช่วยเพื่อนที่กำลังจมน้ำ สุดท้ายเสียชีวิตเอง
- บาดเจ็บ 19 ราย เรือรบเม็กซิโก ชนเสาสะพานนิวยอร์ก คาดสาเหตุ (คลิป)
อ้างอิง: Glamour, The Other 98%
ติดตาม The Thaiger บน Google News: