‘บิ๊กต่อ’ สั่งเยียวยา หนุ่มซวย ตำรวจกรอกข้อมูลผิด ทำติดประวัติอาชญากรรม
บิ๊กต่อ สั่งเยียวยา หนุ่มซวย ตำรวจกรอกข้อมูลผิด ทำติดประวัติอาชญากรรม จนถูกไล่ออกจากงาน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบ เตรียมลงดาบถ้าพบว่าผิดจริง
จากกรณีที่ นายปัญญา อายุ 48 ปี ได้เดินทางเข้าร้องเรียนกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังจากไปแจ้งความของหาย พร้อมอ้างว่า จนท.คีย์ข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชนสลับกับผู้ก่อเหตุคดีลักทรัพย์ตัวจริง จนทำให้มีคดีติดตัวในสารระบบ ได้รับผลกระทบถูกบริษัทไล่ออกจากงานตามที่มีรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น
ล่าสุด พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. สั่งการให้ ผบช.ภ.1 ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวให้ครบทุกมิติ ในเรื่องความบกพร่องของการคีย์ข้อมูลพนักงานบริษัททำให้ถูกไล่ออก ในเรื่องนี้ตำรวจต้องเข้าไปช่วยเหลือเยียวยา ปรับแก้ข้อมูลให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงโดยด่วน และระวังไม่ให้เกิดเหตุเช่นเดิมซ้ำอีก
เมื่อถามว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวหรือไม่ พล.ต.ท.อาชยน กล่าวว่า ต้องมีการตรวจสอบว่ามีเจตนาอย่างไรหรือเป็นความผิดพลาดของตัวเจ้าหน้าที่เอง ต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนว่าข้อเท็จจริงสุดท้ายเป็นอย่างไร ถามต่อว่าเบื้องต้นจะเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่หรือไม่ โฆษก ตร. กล่าวว่า คงต้องรอผลการตรวจสอบเพราะข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ในกองทะเบียนประวัติอาชญากร หรือ ทว. ต้องไปดูว่ามีการนำเข้าข้อมูลมาจากแหล่งไหน
เมื่อถามถึงการเยียวยาหลังจากนี้เนื่องจากผู้เสียหายได้รับผลกระทบ พล.ต.ท.อาชยน กล่าวว่า ส่วนนี้ ผบ.ตร.ได้สั่งให้ ผบช.ภ.1 ไปดำเนินการตรวจสอบให้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อถามว่าตัวเจ้าของคดีสามารถแก้ไขจุดผิดพลาดได้เลยหรือไม่ หรือต้องประสานทาง ตร.แก้ไข โฆษก ตร. กล่าวว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่จะเร่งรัดดำเนินการให้โดยด่วน ส่วนจะสรุปข้อเท็จจริงต่างๆ ได้เมื่อไร ต้องรอผลการตรวจสอบให้แน่ชัด
เมื่อถามว่าอาจจะมีคดีอื่นที่เจ้าของคดีดำเนินการผิดพลาดและไม่ได้ดำเนินการแก้ไขต่อ หรือบางคดีที่คดีจบไปแล้วแต่เจ้าของคดีไม่ได้ยื่นเรื่องแก้ไข จะต้องทำอย่างไร พล.ต.ท.อาชยน กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังดำเนินการอยู่ทั้งเรื่องของผลคดี กับการลบประวัติเพื่อคืนความถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ต้องเร่งเชื่อมโยงข้อมูลให้เรียบร้อยไม่ให้กระทบกับสิทธิประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการเข้าไปทำงาน และเป็นการรักษาเกียรติยศชื่อเสียง
ด้าน พ.ต.อ.พัทธนันท์ ทรงสมถวิล ผกก.สภ.บางปะอิน เปิดเผยว่า สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้ทราบแล้วว่า เป็นผู้เสียหายที่เขามาแจ้งความร้องทุกข์ ที่ สภ.บางปะอิน เมื่อปี 64 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ตนเองจะมาประจำที่นี่ ซึ่งได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วทราบว่าเขามาแจ้งความในข้อหาลักทรัพย์นายจ้างได้รับมอบอำนาจมาจากบริษัทแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่บางปะอินแจ้งความดำเนิน ข้อหาลักทรัพย์กับนักศึกษาฝึกงานของบริษัทในข้อหาลักทรัพย์ นายจ้างมูลค่าความเสียหายประมาณ 2 แสนกว่าบาท
ซึ่งในทางคดี ร้อยเวรในขณะนั้น ได้รับคำร้องทุกข์ ไว้แล้วตามคดี 420 ได้ทำการสอบสวนจับกุมตัวผู้ต้องหา ส่งศาลฟ้องศาลแล้ว คดีนี้ศาลได้สั่งจำคุกผู้ต้องหา จำคุก 1 ปีปรับ 20,000 บาท โทษจำรอไว้ 2 ปี พิพากษาไว้แล้วเมื่อปี 64 ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ลักทรัพย์แต่ปฏิเสธรับข้อหาของโจร
“สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด เป็นการบันทึกข้อมูล ในระบบคราม ซึ่งเป็นระบบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ผู้บังคับบัญชาได้ใช้ในการตรวจสำนวนคดี และเป็นข้อมูลภายใน ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่ของเรา ได้ตรวจสอบแล้ว สันนิษฐานเบื้องต้น ที่ได้ลงข้อมูลผิดพลาด ลงชื่อผู้ต้องหา แต่ตรงเลข 13 หลัก เป็นเลขของผู้เสียหาย จึงเกิดการผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งทางผู้เสียหาย ก็ได้ไป ได้ไปร้องทางเพจสายใหม่ต้องรอด ตรวจสอบประวัติพบว่าตนเองต้องคดีอาญา ถูกให้ออกจากงาน”
ซึ่งทางโรงพักตอนนี้ทราบเรื่องแล้วส่วนเรื่องข้อมูลที่ทางเพจ หรือทางผู้เสียหายแจ้งว่าได้มีการแก้ไขในระบบแล้ว อันนี้เดี๋ยวทางพื้นที่ของโรงพักจะขอตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่ามีการแก้ไขเมื่อไหร่ ยังไงซึ่งข้อมูล ณ ปัจจุบันนี้ ได้แก้ไขให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมดแล้ว โดยเบื้องต้นตรวจสอบจากข้อมูลจากทะเบียนประวัติอาชญากรเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ได้เกิดความผิดพลาด ความผิดพลาดตรงนี้เกิดจากระบบครามซึ่งเป็นข้อมูลภายใน เป็นข้อมูลที่ไม่ได้ใช้รับรองในการให้บุคคลทำงาน
โดยการจะใช้ประวัติเพื่อจะยืนการทำงาน ต้องมายื่นคำร้องที่เรา หรือพื้นที่ พื้นที่ก็จะพิมพ์ลายนิ้วมือไปส่งที่ ทว.หรือทะเบียนประวัติอาชญากรรม ว่าคนคนนี้ที่มาพิมพ์มือมีประวัติหรือไม่ซึ่งจะใช้เวลาสัก 2-3 วัน ซึ่งเราตรวจสอบแล้วข้อมูลตรงนั้นถูกต้อง ทางพื้นที่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ เพราะเราได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นความประมาทเลินเล่อของบุคคลใด ซึ่งทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าตรวจสอบแล้วผิดก็ว่าไปตามผิดตามระเบียบข้อกฎหมายต่อไป
หนุ่มถูกไล่ออกจากงาน ตำรวจคีย์เลขผิด สลับกับคนร้าย ทำคดีติดตัว